Q: โจทก์ภิกษุด้วยอาบัติปาราชิกในการอวดอุตริมนุษยธรรม
A: “ภิกษุใดอวดอุตริมนุสธรรม ที่ไม่มีในตน เป็นปาราชิก เว้นไว้แต่เข้าใจผิด” เป็นแม่บทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้
“อุตริมนุษธรรม” คือ ธรรมที่เหนือมนุษย์ ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์เป็นอุตริมนุสธรรม ส่วนธรรมของมนุษย์ทั่วไปคือศีล 5
“อวด” คือ พูดว่าตัวเองทำได้ แต่ไม่ได้แสดงให้ดู หากอวดอุตริมนุษธรรมที่ไม่มีจริง ไม่มีแล้วบอกว่ามี พระท่านจะอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ ยกเว้นเข้าใจผิดว่ามี แต่ความจริงไม่มี

Q: เมื่อรู้ว่าถูกหลอกเอาทรัพย์ไปเป็นจำนวนมาก เราควรวางจิตอย่างไร?
A: ถ้าเป็นพระภิกษุ ท่านไม่มีสมบัติอะไรนอกจากบาตรและจีวร ท่านพูดได้แค่ว่ามีของหาย หากพระไปแจ้งตำรวจว่ามีคนมาขโมยของแล้วตำรวจจับโจรเข้าคุก ท่านจะปาราชิก กรณีญาติโยมทั่วไป ถ้าของหายจะตามเอาก็ตามได้ แต่ขอให้ใจของเรา ไม่ควรจะเคียดแค้น ไม่ผูกเวร เพราะมันไม่คุ้ม เพราะความเคียดแค้น ผูกเวรจองเวร จิตใจเราจะไม่เป็นสุข

Q: นั่งสมาธิแล้วจิตกระเพื่อม ส่ายไปมาขวาซ้าย ๆ มีวิธีแก้อย่างไร?
A: หากมั่นใจว่าไม่ใช่อาการทางกาย การที่จิตกระเพื่อมนั้น คือ การปรุงแต่งของจิต ให้เราตั้งสติขึ้น โดยใช้อนุสติ 10 อย่าง อันใดอันหนึ่ง ในที่นี้ใช้อานาปานสติ เมื่อเรามีสติระลึกรู้อยู่กับลมหายใจ ไม่ตามการปรุงแต่งทางกายนั้นไป การปรุงแต่งทางกายก็จะระงับ จิตตริตรึกอยู่กับลม อาการทางกายนั้นก็จะอ่อนกำลัง ทำให้มากพัฒนาให้มาก

Q: ผู้ร่วมทำการสังคายนาพระไตรปิฎกต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นหรือ?
A: การสังคายนาครั้งแรกมีขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 3 เดือน โดยจะมีเฉพาะเหล่าภิกษุขีณาสพ ทั้งหมด 500 รูป “การสังคายนา” เป็นการนำคำสอนของท่านมาพูด เมื่อเข้าใจตรงกันก็สวดขึ้นพร้อมกัน และท่านได้จัดหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการจดจำ ให้เป็นรูปแบบของภาษาที่จะรักษาคำสอน เรียกระบบนี้ว่า “ระบบพระไตรปิฎก”


Tstamp

[02:10] โจทก์ภิกษุด้วยอาบัติปาราชิกในการอวดอุตริมนุษยธรรม
[14:46] มื่อรู้ว่าถูกหลอกเอาทรัพย์ไปเป็นจำนวนมาก เราควรวางจิตอย่างไร?
[24:00] นั่งสมาธิแล้วจิตกระเพื่อม ส่ายไปมาขวาซ้าย ๆ มีวิธีแก้อย่างไร?
[39:38] ผู้ร่วมทำการสังคายนาพระไตรปิฎกต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นหรือ?