00:00
1X
Sorry, no results.
Please try another keyword
- 2 จิตตวิเวกพรากกาย พรากจิต ดุจพระจันทน์บนฟ้า และ พระจันทน์บนผิวน้ำ เกี่ยวข้องกัน แต่ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน, แยกด้วยสติ โดยใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือ สงบระงับ จนจิตเป็นสมาธิ หากแต่เมื่อมีสิ่งมากระทบ กายและจิตกลับรวมกันเป็นสิ่งเดียวกันได้อีก เพราะอวิชชา ความไม่รู้ ยึดโยงอยู่กับตัณหา, สิ่งเดียวที่จะแยกกาย แยกจิตได้ อย่างต่อเนื่อง คือ ปัญญา, ปัญญาที่เกิดจาก การเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ของทั้งกายและจิต จึงวางทั้งกายและจิตลงได้.
- 2 จิตตวิเวกเกิดชัยชนะที่ไม่กลับแพ้ได้ ด้วยปัญญา พิจารณาว่า ทุกสิ่งใดๆในโลก ล้วนปรุงแต่ง มีความไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ให้เห็นว่าทุกสิ่งเป็นสมมุติ โดยเริ่มจาก มีสติ เกิดสมาธิ ทำจิตให้มีกำลัง เกิดปัญญา ใช้เป็นอาวุธ เพื่อตัด กิเลสตัณหา ที่เชื่อมยึดถือหรืออุปาทาน อยู่กับจิต โดยมี อวิชชาเป็นรากเหง้าอยู่ในจิต เมื่อเห็นตามความเป็นจริงในจิตว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง เป็นอนัตตา จะเกิดวิชชา อวิชชาดับ เกิดความดับเย็นคือนิพพานในจิตในใจ นั่นคือ ชัยชนะที่ไม่กลับแพ้แล้ว
- 2 จิตตวิเวกทำไม ความคิดนึก จึงเป็นการภาวนาได้ เพราะมีสติ สัมปชัญญะ กำกับอยู่ในความคิดนั้น, ดังนั้นจิตจะถูกรักษา ให้คิดนึก ด้วยความระลึกรู้ คือมีสติ ด้วยความรู้ตัวรอบคอบคือมีสัมปชัญญะ นั่นคือมีปัญญาเกิดขึ้นแล้วคือ มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสติ สัมมาวายามะ พร้อมกันทั้งสามสิ่ง, เกิด สัมมาสังกัปปะ ปราศจากกาม พยาบาท เบียดเบียน, นำไปสู่ สัมมากัมมันตะและสัมมาอาชีวะ ดำรงอยู่ในทางมรรคมีองค์แปดในชีวิตประจำวันได้
- 2 จิตตวิเวกเราจะศรัทธา ปฏิบัติตามสิ่งใด สิ่งนั้นต้องตรวจสอบได้ ต้องพ้นทุกข์ได้จริง โดยต้องประกอบด้วยมรรคมีองค์แปด ตลอดทางที่ดำเนินไป คือ มีศีล สมาธิ ปัญญา เริ่มจาก มีศรัทธา พร้อมปัญญา ว่าสิ่งนั้นตรวจสอบได้ด้วยตนเอง เมื่อมั่นใจแล้ว ตั้งใจลงมือทำ ด้วยความเพียร มีสติ สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้น จะเห็นว่า ทุกๆสิ่ง ไม่เที่ยง มีเงื่อนไข ปัจจัยเกิดขึ้น มีทุกข์ ไม่ควรยึดถือ วาง ละ ทิ้งเสีย นั่นคือถึงที่หมายแล้ว.
- 2 จิตตวิเวกจิตที่ไหลไปตามกระแส สุขๆ ทุกข์ๆ ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่เกาะ ตามหาที่พึ่งไปเรื่อยๆ ขาดที่พึ่งที่แท้จริง หากแต่ เมื่อเรามี สติเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่พึ่ง จะไม่ยึดในเวทนาทั้งสุขและทุกข์, ระลึก รู้ตัว ในสิ่งต่างๆคือ มีสติปัฏฐานสี่เป็นที่พึ่งตลอด, อกุศลธรรมดับ กุศลธรรมเกิด ข้ามกระแสน้ำเชี่ยว ด้วยสติสัมปชัญญะ
- 2 จิตตวิเวก“บางคนนั่งเฉย ๆ ไม่ได้ไปหาใครพูดกับใคร แต่เบียดเบียนคนอื่นได้ เบียดเบียนตัวเองได้ ตรงความคิดไง ตัวไม่ขยับแต่จิตมันขยับ” หยุดจิตให้ได้ อย่าให้จิตไหลไปตามผัสสะ ควบคุมจิตไม่ให้คิดเรื่องต่างๆ ด้วยสติ ด้วยลมหายใจ จิตสงบ ระงับ เกิดสัมมาสมาธิ, แล้วใช้ปัญญาพิจารณา จิต เดี๋ยวผ่องใส เดี๋ยวขุ่นมัว เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามเหตุการปรุงแต่ง จะเห็น จิตก็ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา, วาง ละ จิตที่ไม่เที่ยงนั้น.
- 2 จิตตวิเวกเจริญสติโดยการพิจารณากาย ใช้กายเพื่อชำระจิต ให้เห็นกาย ตามความเป็นจริง ให้เห็นกายนี้ว่า เป็นทั้งสิ่งปฏิกูล และเป็นสิ่งไม่ปฏิกูล และให้อยู่อุเบกขาในสิ่งนั้น ทำอย่างต่อเนื่อง, จิตจะแยกออกจากกาย จิตไม่ไปยึดถือ ยึดมั่นในกายว่าเป็นตัวตนของเรา, กิเลสในจิต จะค่อยๆ หลุดออกไปๆ ด้วยความเพียร ในการพิจารณากายซ้ำๆ ปัญญาจะเกิดขึ้น
- 2 จิตตวิเวกระงับความคิด ด้วยการตั้งสติ ด้วยการระลึกสังเกตอยู่กับลมหายใจ สังเกตดูเฉยๆ ฝึกบ่อยๆจนเกิด สัมมาสติ จิตตั้งมั่นได้ ไม่ตามไปกับสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามา ไม่ตามความคิด อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ, จิตแยกออกจากความคิด ความรู้สึกได้มากขึ้น มากขึ้น, เกิดความสงบ ระงับ, จิตเริ่มเป็นสมาธิ เรียกว่าสัมมาสมาธิ, ใช้สัมมาสมาธิเป็นเครื่องมือ เพื่อให้เชี่ยวชาญในความคิด แก้ปัญหาสิ่งต่างๆได้
- 2 จิตตวิเวกตั้งสติให้มั่น ด้วยพุทโธ ธัมโม สังโฆ ประดิษฐานอยู่ในใจเราตลอดเวลา จิตตั้งมั่นขึ้นได้ ไม่ไหลไปตามผัสสะที่เข้ามา เราจะมีความสุขเย็น ที่เกิดจากความสงบ ระงับ จากภายใน เกิดสติสัมสัมปชัญญะ จิตมีกุศลธรรมเกิดขึ้น มีเมตตา กรุณา อกุศลธรรมลด เบาบางลง มีความเพียร กล้าในการเผชิญหน้า แผ่เมตตาใหญ่ออกไป ความกังวลใจหายไป จากการมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นธงชัย
- 2 จิตตวิเวกสังโฆคือผู้ปฏิบัติจนรู้แจ้ง ให้เราระลึกถึงคุณของสังโฆ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้แจ้งโลก เห็นทุกข์ คือเห็นธรรม เข้าใจอริยสัจสี่ เหมือนปัจจันตนครที่มีเครื่องป้องกัน โดยมีนายทวารที่ฉลาด คือ มีสติ เพื่อแยกแยะไม่ให้อกุศลจิตแทรกผ่านประตูเข้ามา อนุญาตให้เฉพาะคู่ราชฑูต คือ สมถและวิปัสสนา ถือสาสาส์นเรื่องการเห็นตามความเป็นจริงคือนิพพาน สู่เจ้าเมืองหรือวิญญาณ โดยผ่านทางมรรคแปด เมื่อผัสสะมากระทบผ่านประตูทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สติที่มีกำลัง มีความละเอียด จะสังเกตเวทนาในช่องทางใจของเรา แยกแยะสิ่งดีหรือไม่ดี และเกิดสมถวิปัสสนาเข้าสู่จิต เห็นความเป็นของไม่เที่ยง ทั้งรูป นาม ขันธ์ทั้งห้าเป็นกองทุกข์ ควรแล้วหรือที่จะยึดถือว่าเป็นตัวตนของเรา วิญญาณเมื่อได้รับข่าวสารที่เป็นวิชชาเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆพ้นออก คือ วิมุตติ โดยมีนิพพานแล่นไปสู่จิตซึ่งไม่ใช่ตัวตน จิตดับไป หลุดพ้นแล้ว จิตพ้นจากผัสสะต่างๆ คือ นิพพานนั่นเอง
- 2 จิตตวิเวกรู้ลมแล้วจินตนาการไปในพุทธะ นึกถึงเหตุการณ์หลังการตรัสรู้ ครั้งที่สหัมบดีพรหมเกิดความร้อนใจ มานิมนต์ให้พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรม จินตนาการแล้วก็ไม่ลืมลม เป็นการเจริญทั้งพุทธานุสสติและอานาปานสติไปพร้อมกัน ทำให้เกิดความเห็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ เดินไปตามทางอันประเสริฐ เส้นทางเดียวกับพระพุทธเจ้า เราเดินตามท่านไป ตริตรึกใคร่ครวญตามไป เกิดสัมมาสังกัปปะ บุคคลที่ทำเช่นนี้ถือว่ามีความเพียร ความสำเร็จผลตามพระพุทธเจ้าย่อมเกิดได้แน่นอน
- 2 จิตตวิเวกก่อนปฏิบัติธรรมถอดหัวโขนทั้งทางกาย วาจา ใจ และเมื่อมีผัสสะมากระทบอายตนะ 6 รับรู้ได้อยู่คือวิญญาณทั้ง 6 ทั้งส่วนกายและใจ มีเครื่องทดสอบว่าจะกำหนดความคิดให้หลีกออกจากวิตกทั้งสาม คือกามวิตก พยาบาทวิตกและวิหิงสาวิตกได้หรือไม่ ถ้ามันจะเกิดขึ้นในช่องทางใจของเรา จงหยุด จงถอยกลับ ไม่เอาเข้าไป ต้องรู้จักใคร่ครวญแยกแยะให้เข้าได้เฉพาะกุศลธรรม จะแยกแยะได้ต้องมีสติสัมปชัญญะ คือการระลึกรู้นั่นเอง พระพุทธเจ้าท่านใช้อานาปานสติ พระเจ้ามหาสุทัสสนะท่านใช้พรหมวิหาร 4 ตั้งจิตน้อมไปทางนั้น สิ่งนั้นก็มีพลังมาหุ้ม นั่นคืออาสวะที่ประกอบด้วยส่วนแห่งบุญ ชำระอาสวะเก่า จิตสะอาดขึ้น เจริญสัมมาสติให้มาก ย่อมทำสัมมาสมาธิให้เกิดขึ้นได้ จะอยู่เหนือความคิดได้พิจารณาแยกแยะความคิด ดี/ไม่ดี เห็นคุณเห็นโทษ
- สังกัปปะ กับ วิตก เป็นความคิดเหมือนกัน แต่มีธรรมชาติที่ต่างกัน คือถ้าเราต้องน้อมจิตเรียกว่าความคิดตริตรึกหรือวิตก แต่ถ้าความคิดโผล่ขึ้นมาเรียกความคิดนี้ว่าสังกัปปะหรือความดำริ ทั้ง 2 ประเภท มีทั้งคิดในทางกุศลหรือสัมมา และอกุศลหรือมิจฉา เราต้องฝึกตริตรึกไปในทางที่ละกาม พยาบาท และเบียดเบียน เพื่อให้เกิดความดำริหรือสังกัปปะที่เป็นกุศล นี่เป็นการทำงานร่วมกันของวิตกและสังกัปปะ ฝึกได้เริ่มจากวิตกสู่สังกัปปะโดยพุทธานุสสติ เราต้องน้อมจิตไปคิด นึกถึงพระพุทธเจ้าตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์เดินข้ามแม่น้ำเนรัญชราถือหญ้าคาปูนั่งใต้ต้นโพธิ์ จิตแน่วแน่ในการที่จะบรรลุสัมมาโพธิญาณให้ได้ ตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ จิตเป็นสมาธิอยู่ตลอด ตริตรึกและดำริไปในญาณทั้งสาม แผ่เมตตาทั่วทุกทิศ ดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ที่มีองค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง ละอาสวะ รู้อริยสัจ 4 ขึ้นมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ให้เราคิดด้วยการนึกน้อมจิตไปในเรื่องของพระพุทธเจ้านี้ ให้สะสมจนเป็นสังกัปปะคือความดำริ ที่มันเกิดขึ้นได้เองเป็นธรรมชาติของจิตของเราเอาไว้อย่างนี้ให้ดี รักษาให้ได้ตลอดทั้งวัน
- 2 จิตตวิเวกความตายเกิดขึ้นกับตัวเราแน่ และให้ได้ประโยชน์จากความตาย คือเจริญมรณานุสติ จะเกิดอานิสงส์ใหญ่เป็นธรรมที่ลงสู่อมตะ คือความไม่ต้องตายอีก ทำได้โดย 1) ปล่อยวางในสิ่งของรักของหวง 2) ละความยึดถือตัวตนซึ่งเป็นแค่ธาตุทั้งสี่ 3) ละความอยากได้ หลังความตายเอาอะไรไปไม่ได้ นอกจากความดี เร่งทำความดี พิจารณาบาปทั้ง 3 ช่อง ได้แก่ กาย วาจา และใจ โดยระลึกถึงบุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง การที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เอากุศลธรรมขึ้นเป็นหลักก่อน ตั้งฉันทะไว้ตรงนี้ ไปให้ได้ด้วยความเพียรพยายาม สู้ด้วยสติสัมปชัญญะ สู้ไม่ถอยไม่เลิกไม่แพ้ ปฏิบัติตามมรรคแปด ทุกข์หายไปทันที กุศลธรรมเพิ่มขึ้น ละอาสวะได้ จะบรรลุจะเห็นได้ด้วยตนเอง
- 2 จิตตวิเวกคิดเป็นระบบด้วยการพิจารณาโดยอาศัยปัจจัย 4 เป็นพื้นฐาน เริ่มจากเครื่องนุ่งห่มให้พิจารณาว่าจะใส่เพื่ออะไร ดังนี้ ปะฏิสังขา โยนิโส จีวะรัง ปะฏิเสวามิ หมายถึงการพิจารณาโดยแยบคายแล้วจึงนุ่งห่ม. ถัดไปเป็นอาหารพิจารณาเพื่อไม่ให้เกิดเวทนาใหม่หรือระงับเวทนาเก่า พินิจเพ่งจดจ่อ มีสติ ไม่เผลอเพลิน ไม่ยึดติดเกิดความหวง ปัจจัยที่ 3 คือ เสนาสนะ พิจารณาการเข้าสู่เสนาสนะ หรือออกจากเสนาสนะด้วยสติสัมปชัญญะ ต่อไปเรื่องของปัจจัยเภสัชบริขารสำหรับคนป่วย จะใช้ยาหรือสิ่งของอะไรต้องพิจารณามีสติมีสมาธิ นั่นเป็นธรรมะโอสถไปในตัว เพื่อที่จะระงับทุกขเวทนา การมีเงื่อนไขเยอะ จะอยู่ยาก แต่หากเงื่อนไขแห่งความสุขน้อย สุขยิ่งมากเพราะจะทุกข์น้อย เกิดปัญญาด้วยการคิดที่เป็นระบบนั้นคือการโยนิโสมนสิการ หมายถึงการทำในใจ โดยแยกกายเห็นโดยความเป็นธาตุ เป็นปฏิกูล เกิดปัญญา สิ่งที่เป็นอกุศลธรรมลดลง ความยึดถือทั้งหลายลดลง ปล่อยวาง เจริญก้าวหน้าในธรรมะของพระพุทธเจ้ายิ่งๆขึ้นไป
- 2 จิตตวิเวกคิดให้เป็นขณิกสมาธิด้วยการระลึกถึงพุทธประวัติ โดยจินตนาการเป็นภาพพระโพธิสัตว์ทำความเพียรไล่ตั้งแต่จากดงคสิริสู่ริมแม่น้ำเนรัญชรา ความระลึกได้ถึงความสงบที่เคยพบครั้งเป็นเด็กที่เกิดจากการวิเวกกายวิเวกจิตจนเกิดปิติสุข จึงพบทางสายกลาง เพราะคิดจึงรู้ ตัวเราเองคิดนึกตามจนสามารถเกิดปิติสุขมีความสบายใจแบบนั้นได้หรือไม่ สามารถพยากรณ์วาระจิตตนได้หรือไม่ ถ้าได้จึงจะถือว่าขณิกสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิได้เกิดขึ้นแล้ว ควรทำให้ชำนาญ เพื่อเป็นฐานในการค้นพบเส้นทางแห่งการตรัสรู้เช่นพุทธะต่อไป
- 2 จิตตวิเวกธรรมะบทแรก ‘ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร’ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นปฐมเทศนากับภิกษุปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ท่านทรงสอนไว้อย่างไร ใคร่ครวญธรรมในธรรมในคำสอนของ ‘พุทธะ’ ว่าอะไรคือหลักคำสอนที่มีความสำคัญสูงสุด เป็นความจริงอันประเสริฐ อะไรคือสิ่งที่แล่นไปดิ่งไปสุดโต่ง 2 อย่างที่ไม่ควรข้องแวะ อะไรคือขั้นตอนกระบวนการปฏิบัติที่เป็นทางสายกลาง ที่เมื่อทำกิจแต่ละข้อ ใน ‘อริยสัจ’ ได้แล้ว จะมีความรู้ยิ่ง อยู่เหนือจากความทุกข์ทั้งมวลได้
- 2 จิตตวิเวกพิจารณานามรูปตามระบบแห่งความเห็นที่ถูกต้องเพื่อให้เกิดปัญญา มี 7ประการ ดังนี้ ประการที่ 1 นามคือความรู้สึกที่เรารับรู้ทางวิญญาณได้ รูปคือธาตุ4ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟและลม ประการที่ 2 นามรูป มีเหตุเกิดจากวิญญาณ ซึ่งมาจากการมีสฬายตนะ ประการที่ 3 ความดับของนามรูปคือ ต้องดับวิญญาณ ประการที่ 4 องค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง เป็นหนทางปฏิบัติให้ถึงความดับของนามรูป เปรียบได้ระบบของอริยสัจ 4 คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จึงเป็นระบบคิดที่จะเป็นการใคร่ครวญโดยแยบคาย ให้เกิดปัญญา ประการที่ 5 ประโยชน์จากนามรูป ทำให้เกิดสุขโสมนัส ประการที่ 6 โทษของนามรูปคือความไม่เที่ยง ทำให้เราเป็นทุกข์ ประการที่ 7 นิสสรณะเป็นอุบายออกจากนามรูป คือนำออกซึ่งความกำหนัดยินดีพอใจในนามรูป โดยการปฏิบัติตามมรรค 8 พิจารณาด้วยความคิดที่เป็นระบบ ในธรรมะทั้ง7ประการ ปัญญาเกิด ปล่อยวางได้ อยู่กับทุกข์แบบสุข
- 2 จิตตวิเวกบุคคลที่มีการสำรวมระวังนี้ได้ชื่อว่า ไม่ประมาท ตื่นอยู่ เริ่มต้นด้วยการตั้งสติตามทางสติปัฏฐาน4 โดยใช้พุทโธเป็นเครื่องมือให้เกิดสติ เรียกว่าเจริญพุทธานุสติ แต่ยังมีความคิดนึกผ่านทางช่องทางใจ ดังนั้นต้องมีการสำรวมระวังจากสติที่ตั้งขึ้น จิตสงบระงับลง ปรุงแต่งทางกายวาจาใจเบาบางลง ราคาโทสะโมหะระงับลง แม้คำว่าพุทโธก็หายไป เหลือแต่จิตที่อยู่กับธรรมารมณ์ในที่นี้คือสติ จิตอยู่ตรงไหนสติก็อยู่ตรงนั้น สติอยู่ตรงไหนจิตก็อยู่ตรงนั้น สติจึงรักษาจิตด้วยการสำรวมระวัง บุคคลที่มีสติตั้งมั่นแบบนี้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ตื่นอยู่ ไปตามสายเส้นทางที่มีองค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง ทำให้รู้ถึงความตื่นอยู่เป็นขั้นๆ มีการพัฒนาทางจิตวิญญาณ มีการพัฒนาทางปัญญา เห็นความไม่เที่ยงของจิต จึงปล่อยวางได้
- 2 จิตตวิเวกสมถะวิปัสสนาเป็นธรรมที่คู่กัน เจริญโดยใช้อานาปานสติ สมถะที่เมื่ออบรม ทำให้มากแล้วจิตจะเจริญ ไม่คล้อยเคลื่อนไปตามอารมณ์ ละราคะ โทสะ โมหะได้ แต่ก็ยังกำเริบได้ จิตต้องมีความเพียรด้วยองค์ประกอบ 7 ประการ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาทิฏฐิ จึงมีกำลังขึ้น จิตเป็นสมาธิ วิปัสสนา ทั้งกระบวนการนี้เรียกว่าการทำวิปัสสนา ปัญญาจะเกิดที่จิตของเรา ปัญญาคือความรู้ให้เห็นความจริง ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ปัญญาเมื่อเจริญแล้วจะละอวิชชาได้ ทำนิพพานให้แจ้ง เห็นความไม่เที่ยง ตัดแม้กระทั่งราก วิชชาเกิด
- 2 จิตตวิเวกกำหนดรู้ธรรมด้วยปัญญาอันยิ่งจากทุกข์ นั่นคือขันธุ์ 5ว่ามีสภาวะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเงื่อนไขปัจจัย ไม่เที่ยง ให้ละเสีย ไม่ควรยึดถือ เริ่มจากวิญญาณการรับรู้ ไม่เพลินไปตามอารมณ์ มีสติ สังเกตและวิริยะ ดำเนินตามระบบแห่งความเข้าใจที่ถูกหลักหมายถึงระบบของความจริงอันประเสริฐ ได้แก่ทุกข์ที่เราต้องกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งแท้คืออภิญญา สมุทัยคือเหตุเกิดทุกข์ต้องละ นิโรธต้องทำให้แจ้ง และมรรคคือทางที่ทำให้เกิดความเข้าใจต้องทำให้เจริญ ด้วยความมีอภิญญาในจิตใจของเรา ความมีปัญญาอันยิ่ง รู้วาระจิตของตัวเอง ชนะตนเองจากความชั่วที่อยู่ในจิต จิตจะเกิดความสงบระงับ คืออุปสมายะ จิตมีความรู้ยิ่งคืออภิญญายะ จิตมีความรู้ดีมีความรู้พร้อมคือสัมโพธายะ และจิตมีความเย็น ความนุ่มนวลนั่นคือนิพพานายะ
- 2 จิตตวิเวกการฝึกจิตซึ่งป็นนาม เป็นของว่าง ไม่มีตัวตน เป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์ โดยเริ่มจากใช้ลมหายใจเป็นฐานที่ตั้งของสติ ฝึกให้สติมีกำลังจะระลึกได้ ไม่ถูกราคะ โทสะ โมหะมาทำให้เกิดโทษ จิตจะไม่เผลอไม่เพลิน รับรู้และเข้าใจธรรมชาติของทุกข์คือขันธ์5 ยอมรับและเข้าใจ สมุทัยคือตัณหา ให้กำจัดเสีย นิโรธคือความดับไม่เหลือของตัณหา ต้องทำให้แจ้ง ให้ดับ มรรคคือองค์ประกอบอันประเสริฐ8อย่าง ต้องมีและพัฒนาให้ดีขึ้น เริ่มจากสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ นี่เป็นส่วนของปัญญา เข้าใจทุกข์ให้ดี ทำชีวิตให้เป็นปกติ มีศีล สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ อยู่ในศีลธรรม รักษาศีลให้ดี ไปฝึกจิตให้มีกำลัง มีสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ประกอบเข้าอยู่ในจิตของเรา ผนังความเป็นตัวตนของเราถูกทำลายเพราะตัณหาหมดไป จิตที่ฝึกดีแล้วด้วยมรรค8 ทำอริยสัจ4ให้เข้าไปในใจของเรา จะนำความสุขมาให้ นั่นคือนิพพาน
- 2 จิตตวิเวกเห็นธรรมในธรรมโดยเห็นลมผ่านทางกาย ในความเหมือนกันของลมและกาย เห็นส่วนที่ต่างกันจากการปรุงแต่งของการเปลี่ยนแปลงของกายที่ทั้งเหมือนและต่าง เห็นวัฏจักรสู่ความระงับ ฝึกฝนโดยมีสติอยู่กับลม จิตจะสงบระงับเป็นอารมณ์อันเดียว เห็นธรรมชาติที่จิตนั้นปรุงแต่งได้แต่ปลดเปลี้อง และแยกกันคนละส่วน จะเกิดลักษณะของจิตที่จะน้อมเข้าไปเพื่อยึดกิเลสอีกแต่จะเบาบางลงคือการสละคืน ดังนั้นจิต ลม สติให้อยู่ด้วยกัน เห็นกายในกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม คือสติปัฏฐาน 4 ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เห็นตามสภาพความเป็นจริง ไม่ยึดถือ อยู่กับทุกข์ได้โดยไม่ทุกข์ คือเห็นอริยสัจ 4
- 2 จิตตวิเวกระลึกถึงคุณของแก้วสามประการ คือพุทโธ ธัมโม สังโฆ จิดเป็นสมาธิเกิดสติ ทำสติให้มีกำลังและพัฒนาเกิดปัญญา พุทโธแก้วประการที่1 คือผู้รู้ รู้วิธีกำจัดกิเลสออกไปจากใจ ไม่ถูกบีบคั้นด้วย ราคะ โทสะ โมหะ พุทโธมีสามระดับ คือ สัมมาสัมพุทโธ อนุพุทโธ ปัจเจกพุทโธ ธัมโมแก้วประการที่2 คือ ธรรมะที่ทำให้พ้นทุกข์ มีความงดงามในเบื้องต้น คือมีความชอบที่สอดคล้องกัน,ท่ามกลาง คือฟังแล้วทำตามได้ผล และในที่สุด ซึ่งเป็นปัญญา วิชชา กำจัดอวิชชากิเลสตัณหาไม่ต้องกลับมาเกิดอีก สังโฆแก้วประการที่3 ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า แก้วรัตนะ เป็นสายเส้นแห่งการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด เกิดความรู้อริยสัจสี่
- 2 จิตตวิเวกมีสติให้รู้ชัด ว่าหายใจเข้าหรือออก ไม่ต้องตามลม ให้ตั้งสติไว้จุดที่สัมผัสลมได้ การเห็นลมคือการเห็นกายอย่างนึง เป็นหนึ่งในที่ตั้งของสติ สติคือความไม่เผลอไม่เพลิน แต่เราต้องเห็นกายในกายให้ถูกต้อง คือเห็นด้วยสัมมาสติ เห็นกายเป็นของปฏิกูล ขั้นตอนที่หนึ่ง เห็นลมเราไม่ต้องตามลม ขั้นตอนที่สองไม่เผลอไม่เพลินไปตามสิ่งที่ได้รับรู้และสัมผัส ต้องคิดเป็นระบบ เรียกว่าการพิจารณา พิจารณาด้วยจิตที่เป็นสมาธิ เรียกว่า ทำวิปัสสนา พิจารณาไล่เรียงไปทีละส่วนก็ได้ พิจารณาเป็นของปฏิกูล เพื่อละความยึดถือ ให้เห็นตามความเป็นจริง ไม่ยึดถือก็ไม่ทุกข์ จิตที่ไม่เกิด ความตายก็ไม่เกิด ปัญญาเกิดขึ้น อวิชชาดับ ตัณหาก็ดับ ความยึดถือก็ดับไปด้วย ไม่มีการเกิดอีก ให้รักษาสภาวะ สมถะ วิปัสสนานี้ไว้ให้ดี
- 2 จิตตวิเวกเจริญอานาปานสติ เกิดความรู้ตัว พร้อมเฉพาะคือ มีสติ สัมปชัญญะรู้ลมหายใจ, ให้เห็น กาย เวทนา จิต ธรรม, โดยสังเกตุลมหายใจเข้า-ออกในกาย คือ เห็นกายในกาย, สังเกตุเวทนาในกาย เวทนาในจิตคือ เห็นเวทนาในเวทนา, จิตสงบตั้งมั่นจากสมาธิ คือเห็นจิตในจิต, เกิดปัญญา เห็นทุกขลักษณะ เห็นความไม่เที่ยงของจิต จึงวางความยึดถือในจิตว่าเป็นตัวตน เกิดความดับคือเห็นธรรมในธรรม เห็นอย่างนี้จะเกิดการพัฒนาในทางที่ดีขึ้นแน่นอน.
- 2 จิตตวิเวกหายใจแรงๆสองสามครั้ง กำหนดรู้ถึงลมรับรู้ถึงสัมผัสได้ที่ตรงไหน เอาจิตมาจดจ่อตั้งเอาไว้ที่นี่และหายใจธรรมดา กำหนดอยู่กับลม ณ ตรงตำแหน่งที่เราสัมผัสได้ตอนแรก มีสติสัมปัญชัญญะ เมื่อสติมีกำลังมากขึ้นตามกระบวนการของการเจริญพุทธานุสติ จิตจะมีกำลังมากขึ้น การรับรู้เกิดขึ้นได้แต่ไม่ตามไป รู้สึกพอใจก็เป็น ราคานุสัย รู้สึกไม่พอใจก็เป็นปฏิฆานุสัย กำจัดอนุสัยออกด้วยจิตที่เป็นสมาธิ เกิดสติสัมปชัญญะเห็นตามความเป็นจริง มีวิชาเกิดปัญญา ละอวิชานุสัยได้ เห็นว่าไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้ สิ่งใดไม่เที่ยงไม่ควรไปยึดถือ นิโรธมีได้ความดับเกิดขึ้นได้
- 2 จิตตวิเวกเมื่อเกิดความพอใจ ไม่พอใจ ความหลง ความไม่รู้ ให้ใคร่ครวญธรรมโดยการพิจารณาปัจจัยในภายใน เข้าใจเหตุให้ถูกต้องจะสาวไปถึงปัจจัยต้นตอเงื่อนไขของมันได้ ตามระบบอริยสัจ4 และลงมือปฏิบัติตามมรรค8 ซึ่งมีองค์ประกอบอันประเสริฐแปดอย่างเป็นหลัก แต่ถ้าเราหลงไปยึดถือ เกิดความรู้สึกและตัณหามากมายรวมเรียกว่า อุปธิ ก็จะพาให้ทุกข์ จึงต้องมีสติตั้งไว้เสมอ ไม่ตามตัณหาไป เห็นในความเป็นอนัตตา เห็นโทษของมัน ใช้หลักธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน ใคร่ครวญให้ถูกทาง ต้องมาจบที่มรรค 8 และควรทำให้เจริญ ทำให้มาก ซึ่งเป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือ เกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริงในที่สุด
- 2 จิตตวิเวกสร้างฐานให้จิตด้วยการระลึกถึงพุทโธ คือเจริญพุทธานุสติซึ่งสงบชั่วคราว ดังนั้นพอจิตเป็นสมาธิแล้วก็มาเจริญธรรมานุสติด้วย โดยการพิจารณาขันธ์ทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีทั้งรสอร่อยและโทษ โทษจากความเพลิดเพลิน พอใจไปในรสอร่อยคือมีอุปทานขันธ์ และยึดเอาไว้ รู้แล้ววาง ไม่ยึดถือ เพราะไม่เที่ยง แปรปรวนเป็นทุกข์ อุบายที่จะนำออกจากความยึดถือในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือ มรรค8 เป็นทางออกให้เห็นตามความเป็นจริง
- 2 จิตตวิเวกหลักการที่ควรรู้ทำให้ละเอียดลงไปคือ เมื่อตริตรึกไปในอารมณ์ใดๆมาก จิตย่อมน้อมไปโดยอาการอย่างนั้นๆ เมื่อเข้าใจหลักการนี้ ก็สามารถเริ่มวิธีการทำจิตให้สงบจากความฟุ้งซ่านได้ โดยผูกจิตไว้ที่สติดุจผูกสัตว์ทั้ง 6 ไว้ที่เสา ไม่ให้ไปตามช่องทางของสิ่งที่มากระตุ้น รับรู้แต่ไม่ตามไป ไม่เพลินไปตามทั้งในสิ่งที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ สติจะเป็นตัวแยกจิตออกจากการรับรู้ จิตไม่ใช่ความคิด ลิงกับป่าเป็นคนละอันกัน เมื่อมีสติย่อมไม่ลืมไม่เพลินไม่เผลอ ความรู้จะค่อยปรากฎขึ้นว่าจิตนี้ไม่ใช่ของเรา
- 2 จิตตวิเวกจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติคือเพื่อไม่ยึดถือ เริ่มการปฏิบัติได้โดยตั้งสติและมีศีลเป็นพื้นฐาน ตั้งสติเอาไว้ให้เห็นจิตในจิต เห็นการปรุงแต่งของจิต สติจะระงับจิตตสังขารลงเรื่อยๆ ทำจิตให้สงบด้วยสติ เมื่อจิตที่เป็นประภัสสร พบว่าแม้แต่จิตก็เปลี่ยนแปลงตามสิ่งต่างๆที่เร้าทั้งมรรคและสมุทัย เห็นตามความเป็นจริงช้อนี้คือเรื่องของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทำให้เกิดปัญญาเห็นความไม่เที่ยงเพราะการปรุงแต่ง เกิดวิชชาหยุดอวิชชาด้วยอนัตตาเป็นประตูสู่นิพพาน
- 2 จิตตวิเวกเห็นกายด้วยความน่าอัศจรรย์ผ่านลมหายใจ สังเกต ณ จุดเดียว นั่นคือกายคตาสติ ฝึกฝนให้ระงับการปรุงแต่งกายและใจที่เป็นไปตามอำนาจของกิเลสโดยปฏิบัติตามมรรคแปด จิตลมสติอยู่ด้วยกันจะไกลจากกิเลสแต่เมื่อใดที่สติและสมาธิอ่อนกำลังลงจะไปยึดสิ่งที่ไม่เที่ยง สิ่งที่เป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นอนัตตา จึงต้องทำปัญญาขั้นที่2 ได้แก่ สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา เพื่อความหลุดพ้น
- 2 จิตตวิเวกตั้งจิตไว้ตรงจุดเมล็ดพันธุ์แห่งความดีเรียนรู้จากประสบการณ์ เจริญพุทธานุสติ กล้าเผชิญหน้ากับกิเลสซึ่งมีอยู่รอบทิศทาง ทำความเพียรอย่างเร่งด่วนจะเกิดกุศลธรรม มีสติสัมปชัญญะ เดินตามทางมรรคแปด จะไม่เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลัง ดังที่พระพุทธเจ้าท่านได้กล่าวไว้ มา ปจฺฉา วิปฺปฏิสาริโน อหุวตฺถ พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย
- 2 จิตตวิเวกเจริญวิราคสัญญานิโรธสัญญา ผ่านพุทธานุสสติ จิตเป็นสมาธิ ละเอียดขึ้น ๆ จนเหลือแต่อุเบกขา ไม่มีวิตกวิจารณ์ ไม่มีปีติสุข ทำสมาธิให้มีความชำนาญจะเห็นอาพาธ ของวิตก วิจารณ์ ปีติ สุข จึงปล่อย คลายกำหนัดสิ่งนั้นเสียนั่นคือวิราคสัญญา จึงนำมาซึ่งความดับคือนิโรธสัญญา เมื่อปล่อย คลายออก จึงเป็นความดับ เมื่อดับจึงเป็นสุข เป็นนิพพานได้อย่างนี้ ความไม่มี หรือมีน้อยลง น้อยลง จึงนำมาซึ่งความเจริญได้ อย่างนี้นั่นเอง
- 2 จิตตวิเวกเริ่มจากศรัทธาว่ามีทางที่จะพ้นทุกข์ได้ กำหนดสติอยู่กับลมหายใจเข้าออกด้วยความเพียร จิตจะรวมลงเป็นสมาธิซึ่งยังต้องอาศัยศีลเป็นตัวผลักดัน กิเลสจะลดลง ไม่ยึดถือขันธ์5 ยึดถือตรงไหนทุกข์อยู่ที่ตรงนั้น คิดเรื่องอะไรมากๆ จิตนั้นจ่อเข้าสิ่งนั้นมีพลังทันที เอาตรงนี้มาใช้ประโยชน์ โดยจดจ่ออยู่กับลมหายใจ สติเราก็จะมีกำลังเพิ่มขึ้น เดินตามทางอันประเสริฐ8อย่าง ละความยึดถือได้ ดับเหตุแห่งทุกข์ ความเข้าใจเรื่องอริยสัจ 4 สุดทางนี้มันคือทางให้พ้นจากความทุกข์นั้นคือนิพพาน
- 2 จิตตวิเวกการเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เห็นธรรมในธรรม เราควรหนีจากงูพิษ ซึ่งคือธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม หนีจากเพชฌฆาตคืออุปทานขันธ์ 5 สิ่งใดมากระทบผ่านอายตนะทั้ง6 ก็เห็นด้วยปัญญาว่าเป็นความว่างเปล่า จะหนีจากงูพิษและเพชฌฆาตดังที่พระพุทธเจ้าและเหล่าอรหันต์ท่านได้นำไปก่อนแล้ว โดยปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปดด้วยความมั่นใจ เลื่อมใส และใช้ความเพียรให้เป็นกำลังของเราตั้งสติไว้ จะข้ามสังสารวัฏนี้ไปให้ถึงนิพพาน พอไปถึงฝั่งโน้นแล้วก็ไม่ควรยึดสิ่งใดๆแล้ว
- 2 จิตตวิเวกเจริญพุทธานุสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คือระลึกถึงในความที่ท่านเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นผู้มีปัญญา มีความเพียร เป็นการเจริญสติปัฏฐานสี่ ไม่ว่าจะทำอะไรให้ระลึกถึงพุทโธ ทางนี้เป็นทางสายเอก เป็นหนทางเครื่องไปทางเดียว เกิดสัมมาสติคือความระลึกชอบ เมื่อจิตไม่คล้อยไปตามอารมณ์ จิตเรามีพลัง จิตได้รับการรักษาด้วยสติ เกิดสัมมาสมาธิ ให้จิตอยู่เหนือ พ้นจากความทุกข์ได้ เกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริงในกาย เห็นความไม่เที่ยงได้
- 2 จิตตวิเวกต้องฉลาดในขันธ์ทั้งห้าในฐานะทั้งเจ็ด พิจารณาใคร่ครวญโดยวิธีทั้งสาม จากปัญญา 3 ระดับ ที่เมื่อใคร่ครวญให้เกิดปัญญาจากการภาวนาด้วยการเจริญอานาปานสติแล้ว จะให้ถึงความรู้ยิ่งรู้พร้อม คือความพ้นวิเศษได้ ต้องทำบ่อยๆ พิจารณาบ่อยๆ จนเกิดความคลายกำหนัดในขันธ์ทั้งห้า จึงจะเกิดความพ้นได้ จะสามารถทำปัญญาความรู้แจ้ง ความรู้ซึ้ง ความมีปัญญาหลากหลาย จะกระจายเราให้รู้ถึงความเป็นปฏิจจสมุปบาทได้ ทำให้เราพ้นจากความทุกข์ ถึงนิพพาน อันเป็นบรมสุข
- เมื่อเราพบปัญหา ความทุกข์ ความท้อใจ ความผิดหวัง นั่นแหละคือโอกาสให้เกิดความสุข กำลังใจ ความหวัง โดยการเจริญพุทธานุสติระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าในด้านความเพียรและการใช้ปัญญาบนพื้นฐานของสมาธิ มีศีลเป็นบาทฐานและหลักมัชฌิมาปฏิปทา เห็นอริยสัจ 4 นั่นคือหนทางสู่ความสำเร็จ โอกาสที่จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น และการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในช่วงที่ได้ฟังธรรมะคำสอนของพระองค์เป็นเรื่องยากมาก หากเราได้มีโอกาสพบความมหัศจรรย์ 3 อย่างนี้ หนทางความสำเร็จยังเปิดอยู่ ให้เร่งความเพียร ความสำเร็จเกิดได้ด้วยการมีศรัทธา วิริยะปฏิบัติตามแนวทางอริยมรรคมีองค์ 8 คือ ศีล สติสมาธิ ปัญญา ทางแห่งความสำเร็จเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
- ร่างกายของเราประกอบด้วยธาตุทั้ง4 (ดินน้ำไฟลม) มีการรับรู้คือวิญญาณ ทำให้เราตอบสนองในรูปแบบการกระทำ ปรุงแต่งไปตามสิ่งที่มากระทบ ผ่านทางอินทรีย์ต่างๆเหล่านั้น เมื่อเกิดความเพลิน ความพอใจไปในสิ่งใดนั้นๆ เราจะยึด และทำให้เกิดทุกข์ แก้ไขด้วยการตั้งสติโดยเจริญกายคตาสติ ผ่านธาตุทั้งสี่คือ ลมไฟน้ำดิน เมื่อจิตเป็นสมาธิ จะเกิดปัญญาเห็นทางออกของปัญหา คือการไม่ยึดถือ ก็จะไม่ทุกข์ ดังนั้นเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานให้มาก เป็นอานิสงส์ไพศาล เป็นความเคยชินที่เป็นกุศล สะสมเป็นอาสวะที่ดีงาม สู่เส้นทางนิพพาน
- 2 จิตตวิเวก“สติ” เป็นองค์ธรรมสำคัญที่ทำให้เราหลุดออกจากทุกข์ในวัฏฏะของความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ และเป็นทักษะที่ฝึกได้ ด้วยการระลึกถึงคุณของพุทโธ ธัมโม สังโฆ จะช่วยทำให้จิตเราตั้งอยู่ในกุศลธรรม ปัญญา ความเพียร ความอดทน ต่างๆ จะมาครอบงำจิตใจของเรา และทำให้อกุศลธรรมออกไป เมื่อมีสติอย่างต่อเนื่อง เกิดสัมมาสมาธิ และปัญญามองเห็นความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นเรื่องปกติ เห็นความไม่เที่ยง ทั้งกาย เวทนา ความรู้สึก ความคิดต่างๆ รวมถึง จิตก็ไม่ใช่เรา เห็นอย่างนี้แล้ว วางความยึดถือ ยึดมั่น ด้วยสติ เกิดความรู้ คือ เกิดวิชชา อวิชชาก็ดับ
- 2 จิตตวิเวกยึดจิตเป็นตัวตนไม่ดีเลย ให้จิตของเราอยู่ที่โสตวิญญาณ เอาสติมาจับไว้ อย่าเอาจิตไปไว้ที่อายตนะทั้ง6 อย่าไปตามความรู้สึกเวทนา ให้จิตตั้งอยู่กับโสตวิญญาณ ระลึกถึงตรงนี้อยู่เรื่อยๆ คือมีสติ ความคิดนึก สัญญา สังขาร เวทนามีได้ แต่ไม่ตามไป ให้จิตมาอยู่กับการฟัง ให้เข้าใจธรรมะ ไม่เผลอไม่เพลิน ให้ใคร่ครวญโดยที่มีสติสัมปชัญญะอยู่ สิ่งใดที่เป็นนามธรรมทั้งหลายจะซ่อนหลบในกายนี้ ซึ่งกายเป็นการประชุมลงของธาตุทั้งสี่ ประกอบกันมาเป็นตัวเรา จิตเข้าไปยึดถือและเกิดการปรุงแต่ง ยึดถือกายเพราะเป็นรูปที่เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนกว่าจิต แต่จิตเองก็ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่ควรยึดถือเป็นของเรา เห็นความเป็นอนัตตา
- 2 จิตตวิเวกกิเลสเกิดแต่จิต ในใจเราเองไม่ใช่จากสิ่งภายนอก ซึ่งราคะโทสะโมหะทำให้จิตเศร้าหมองเป็นทุกข์ โดยมีผัสสะเข้าสู่ช่องทางอายตนะทั้ง6 ได้แก่ ตาหูจมูกลิ้นกายและใจ ผ่านวิญญาณการรับรู้ เกิดเวทนาเขื่อมด้วยตัณหา มากระทบจิตมีการปรุงแต่งและตอบสนองแตกต่างกันไป ตามอาสวะที่สั่งสมมา ตั้งสติด้วยการกำหนดอานาปานสติ อาจเผลอลืมลมบ้างก็ให้กลับมากำหนดเอาไว้ที่เดิม ทำอย่างต่อเนื่องด้วยความเพียรยึดตามทางสายกลาง สติจะมีกำลังมากขึ้น เกิดสมาธิและปัญญาตามมา ใส่วิชชาและสัจจะเข้าไป ปราศจากอวิชชา ตัณหาและอาสวะดับ กิเลสสิ้นไป
- 2 จิตตวิเวกฝึกปฏิบัติภาวนาด้วยการระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ ปักเป็นยอดธงเอาไว้ และปราศจากวิจิกิจฉา สติห่อหุ้มจิตเป็นเยื่อบางๆ ไว้ ไม่แปดเปื้อนกับผัสสะ สติมีกำลัง ความระงับของอายตนะค่อยๆ เกิดขึ้น เกิดอารมณ์อันเดียวเพื่อให้จิตเราเจริญสติปัฏฐาน4 และพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ด้วยหนทางเครื่องไปทางเดียวคือ มรรค8 เกิดสัมมาสมาธิ จิตจะเห็นตามความเป็นจริง ความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาด้วยปัญญาแทงตลอด ละกิเลส ละอาสวะ ทำนิพพานให้แจ้งได้
- 2 จิตตวิเวกจิตเราสามารถฝึกได้ เริ่มจากการตั้งสติด้วยการเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เกิดสมาธิภาวนา 4 ประเภท ไล่จากเพื่อสติสัมปชัญญะ เพื่อความสุขสงบในธรรม ภาวนาชนิดที่นำมาปรับใช้เพื่อแก้ไขปัญหาในชีวิตเกิดญาณทัสสนะ เห็นตามความเป็นจริง เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นภาวนาชนิดที่ให้สิ้นอาสวะ โดยการปฏิบัติมี 4 รูปแบบ คือการใช้สมถะเป็นเบื้องหน้าเป็นตัวนำแล้วเจริญวิปัสสนาให้ครบถ้วนขึ้นมาในลักษณะที่ทำให้อาสวะสิ้นไป รูปแบบที่ 2 คือวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าเป็นตัวนำ เอาสมถะตามมาให้ครบถ้วนในลักษณะที่ทำให้อาสวะสิ้นไป รูปแบบที่ 3 คือให้สมถะและวิปัสสนาเคียงคู่กันไป รูปแบบที่ 4 คือทำจิตให้ประภัสสรเป็นอารมณ์อันเดียวเห็นในความเป็นของไม่เที่ยง กำจัดความฟุ้งซ่านในธรรม ละอาสวะได้
- 2 จิตตวิเวกระบบความเพียรมีอยู่ 2 อย่างคือ ระบบความเพียรที่ไร้ผลคือการหาทุกข์มาทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ และเพลิดเพลินยินดีในความสุข ระบบความเพียรที่มีผลคือระบบของการประพฤติพรหมจรรย์ คือทางสายกลาง ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา แจกแจงออกได้เป็นทางที่ประกอบด้วยองค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง มีสิ่งที่ช่วยเหลือเกื้อกูล เช่น การสำรวมอินทรีย์ คบกัลยาณมิตร ประมาณในการบริโภค การอ่านหนังสือธรรมะ ความอยู่อย่างสันโดษ เสริมให้การปฏิบัติดีขึ้น ฝึกอานาปานสติระลึกรู้ถึงลมหายใจคือมีสติ ใช้ปัญญาเห็นกุศลธรรมเพิ่มขึ้น อกุศลธรรมลดลง เกิดความยินดี มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แผ่ไปให้สรรพสัตว์ทั้งหลายในทุกทิศทาง
- 2 จิตตวิเวกมีสติอยู่กับลมหายใจ เกิดสัมมาสมาธิและเจริญพรหมวิหารสี่ตั้งไว้ในใจของเรา เมตตาหมายถึงความรักและปรารถนาดี กรุณาคือความปรารถนาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์ มุทิตาหมายถึงความยินดีพอใจที่ได้พ้นจากความทุกข์หรือมีความสุข อุเบกขาคือความวางเฉยทั้งความสุขและความทุกข์เพราะเอาจิตจดจ่อตั้งไว้อยู่กับสมาธิ จากนั้นแผ่ไปทุกทิศ ไม่เว้นใคร ไม่มีขอบเขต เราไม่มองใครเป็นศัตรู ตนเองเป็นเสาอากาศตั้งแต่สมองศีรษะจนถึงพื้นเท้า เนื้อเยื่อทุกส่วนกระดูกทุกชิ้นให้แผ่กระแสไปถึงสรรพสัตว์ทั้งหลาย ปฏิบัติเมตตาเจโตวิมุตให้มากอย่างสม่ำเสมอจะเกิดอานิสงส์ 11 อย่าง 1.หลับเป็นสุข 2.ตื่นเป็นสุข 3.ไม่ฝันร้าย 4.เป็นที่รักของมนุษย์ 5.เป็นที่รักของพวกอมุษย์ 6. เทพยาดารักษา 7.ไฟ ยาพิษหรือศาสตรา ไม่ทำอันตราย 8. จิตตั้งมั่นได้รวดเร็ว 9.มีสีหน้าผุดผ่อง 10. ไม่หลงใหลทำกาละ 11.เมื่อยังไม่บรรลุคุณธรรมอันวิเศษทียิ่งขึ้นไป ย่อมเกิดในพรหมโลก
- 2 จิตตวิเวกชีวิตมนุษย์เป็นของน้อย อาจจะแตกตายไปด้วยปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ทำให้มีค่ามากได้ด้วยก่อนนอนทำความเพียรนั่งสมาธิตามหลักอานาปานสติ หลังตื่นขึ้นในยามสุดท้ายแห่งราตรีก็พิจารณาใคร่ครวญด้วยการเจริญกายคตาสติ มีสติสัมปชัญญะตั้งไว้อยู่ในกายของเรา ให้เห็นกายของเราตามความเป็นจริง ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นอนัตตา จะเกิดปัญญาอย่างใหญ่ ทำความดีด้วยการเจริญพรหมวิหารสี่และปฏิบัติตามมรรคแปด ทำความเพียรอยู่ตลอดทั้งวัน การเป็นอยู่แบบนี้จะเป็นการอยู่ที่มีค่ามาก
- 2 จิตตวิเวกสู่โพชฌงค์เจ็ดด้วยการเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฎฐาน ซึ่งเป็นหนึ่งในสติปัฎฐานสี่ คือเห็นจิตในจิตจากการปรุงแต่ง หมายถึงสังเกตดูว่าจิตของเราเป็นอย่างไร เกิดเป็นสติที่ตั้งไว้ สังเกตทีละน้อยทีละน้อย และใช้ความรู้ที่เป็นกุศลในการแยกแยะจิตออกจากการปรุงแต่งของจิต ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อทำสติของเราให้มีกำลังเพิ่มขึ้น เกิดเป็นสมาธิซึ่งก็คือความที่จิตเป็นอารมณ์อันเดียว ตั้งมั่น เป็นสมาธิสัมโพชฌงค์และเกิดปัญญาที่เป็นความรู้ความเข้าใจเป็นสัมมาทิฎฐิในที่สุด
- 2 จิตตวิเวกเพราะรักสุขเกลียดทุกข์ ทำให้คนทั่วไปไม่เข้าใจต่อเวทนาอย่างแท้จริง เข้าใจเพียงด้านเดียว ความไม่เข้าใจนี้คืออวิชชามีความยุ่งเหยิงเป็นตัณหา แต่สัตบุรุษจะมีความเข้าใจว่าเวทนาไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์หรือแม้แต่อทุกขมสุขล้วนสามารถบรรเทาซึ่งกันและกันได้ ดังเช่นความหิวเป็นทุกขเวทนา บรรเทาด้วยความสุขจากการลิ้มรส เมื่ออิ่มสุขนั้นก็บรรเทาไปด้วยอทุกขมสุข เวทนาเกิดจากผัสสะและเป็นไปตามเงื่อนไขปัจจัย มีความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ สุขเองก็ชื่อว่าทุกข์เพราะเปลี่ยนแปลงได้ พระพุทธเจ้าชี้ทางออกที่พาพ้นจากสุขทุกข์คือมรรคมีองค์แปด เข้าใจและพัฒนาไปตามกิจในอริยสัจสี่ เป็นผู้ที่มีจิตเที่ยงตรงต่อสุขและทุกข์ ชื่อว่าอยู่เหนือเวทนา ทั้งหมดนี้เริ่มมาจากการทำจิตให้ระงับด้วยกายคตาสติ
- 2 จิตตวิเวกปฏิบัติตามหลักของพระพุทธเจ้า ศีล สมาธิและปัญญา คือได้รับพรจากพระพุทธเจ้า เบื้องต้นสู่เนกขัมมะด้วยอานาปานสติ ตั้งสติขึ้นจากการใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือ สติกำจัดนิวรณ์เกิดเป็นสมาธิ ฝึกสติบ่อยๆเพื่อให้มีกำลังแยกแยะอย่างละเอียด และใคร่ครวญโดยแยบคายด้วยโยนิโสมนสิการ เห็นคุณเห็นโทษของแต่ละขั้นของฌาน 4 ขั้น จะพัฒนาไปได้ตามลำดับ ดังนี้ ปฐมฌาน มีวิตก วิจารปีติและสุขเกิดวิเวกอยู่และตั้งอยู่ในธรรมได้ ทุติยฌาน วิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ตติยฌาน ปีติสิ้นไป มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ จตุตถฌาน ละสุขละทุกข์ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
- 2 จิตตวิเวกเจริญพุทธานุสสติ ตามระลึกถึงความเพียรที่ไม่ถอยกลับของพระพุทธเจ้า ในกาลก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ได้ตั้งไว้ซึ่ง อปฺปฏิวาณี หมายถึง ความไม่ถอยกลับ คือไม่สำเร็จจะไม่เลิกกลางคัน ดำเนินตามกระแสเรียกของจิตใจให้ไปตามทางสายกลาง อธิษฐานสร้างกำลังใจด้วยจิตตั้งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แม้มีกองทัพมารมาขวาง ทรงตั้งสติสัมปชัญญะไว้ไม่หลุดจากความเพียร เกิดวิชชา 3 ดำรงไว้ด้วยอิทธิบาทสี่ ตั้งคำถามให้ถูกจะมีคำตอบเกิดขึ้น ทำให้เห็นรูปแบบแห่งความสำเร็จ คืออริยสัจสี่ รื้อถอนวัฏฏะ เหมือนตาลยอดด้วน เป็นจุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนาจากความเพียรที่ไม่ถอยกลับของพระองค์
- 2 จิตตวิเวกนิวรณ์ 5 คือเครื่องกางกั้น ทำปัญญาให้ถอยกำลัง ได้กล่าวถึงกามฉันทนิวรณ์และพยาบาทนิวรณ์ไปแล้ว อีก 3 ข้อ ได้แก่ ถีนมิทธะนิวรณ์ คือ ความหดหู่และความเคลิบเคลิ้ม อุทธัจจะกุกกุจจะนิวรณ์ คือความฟุ้งซ่านและความรำคาญใจ วิจิกิจฉานิวรณ์ คือความเคลือบแคลง ทั้งภายในและภายนอก กำจัดนิวรณ์โดยขจัดทุจริต3 สร้างสุจริต3 ด้วยการรักษาศีล และระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกิดสติปัฎฐาน 4 ในที่นี้เราเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน จิตมีกำลังมากขึ้นและถอนมาอยู่กับการรับรู้ เป็นสมาธิ เกิดโพชฌงค์ 7 กำจัดนิวรณ์ออกไป ทำจิตของเราให้สงบทำประโยชน์ให้ถึงตน หรือผู้อื่นหรือทั้งสองฝ่าย
- นิวรณ์ 5 เป็นเครื่องกางกั้นทำให้จิต และปัญญาถอยกำลัง หรือเกิดไม่ได้ ซึ่งขออธิบายเรื่องของกามฉันทะ หมายถึง จิตมีความพอใจไปในกาม และ ความพยาบาท คือ การคิดปองร้าย การคิดอาฆาต ทั้งภายในและภายนอก สามารถสังเกตการมีอยู่ของนิวรณ์โดยใช้สติระลึกรู้ และจะไม่ให้มีนิวรณ์เพิ่มขึ้นโดยไม่ให้อาหาร นั่นก็คือ ทุจริต 3 ได้แก่ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ เครื่องมือที่จะทำให้เรากำจัดนิวรณ์ 2 ตัวนี้ คือ สติสัมโพชฌงค์ โดยยึดหลักสติปัฏฐาน 4 ทำให้เกิดโพชฌงค์ 7 และนิวรณ์ดับไป สู่การเกิดปัญญาในที่สุด
- กิจโฉ มนุสสะปฏิลาโภ ความที่จะได้เป็นมนุษย์เป็นการยาก จึงต้องทำประโยชน์ให้ได้มาก คือ พัฒนาเป็นอริยะบุคคล โดยการรักษาศีล มีสติสัมปชัญญะ ทำจิตให้สงบด้วยการเจริญพุทธานุสสติ ปฏิบัติตามอริยะมรรคมีองค์แปด โดยยึดสติปัฏฐานสี่ เป็นหลัก พัฒนาให้เกิดเป็นสมาธิสงบในอันเดียว และเกิดเป็นปัญญา มีค่ามากตรงที่เห็นด้วยปัญญาว่า สิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง จะเห็นอริยสัจสี่ ทางดำเนินนั้นจะไปสู่ความดับเย็น คือ นิพพาน รู้แล้ว ปฏิบัติแล้ว รักษาจิตของเราด้วยสติทั้งวันให้เห็นปัญญาเกิดความเข้าใจ
- ผาสุกได้เมื่อมีทุกข์ โดยการปฏิบัติตามทางอันประเสริฐแปดอย่าง ด้วยการเข้าใจเริ่องทุกข์, ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ไม่ทุกข์, มีเพียงแต่ทุกข์มาก หรือทุกข์น้อย, ทุกข์คือสภาวะที่ถูกบีบคั้น เกิดขึ้นได้เพราะตัณหา, เราอย่าเอาตัวเราไปอยู่ในสภาวะที่ถูกบีบคั้น, นั่นคืออย่ามีความอยาก, ให้เห็นด้วยปัญญาว่า, ทุกข์นั้น มันเป็นของมันอย่างนี้ ก็อยู่กับทุกข์ได้โดยไม่ทุกข์ ด้วยปัญญา, แยกจากกันได้, เราจึงมีความผาสุกได้ แม้มีทุกขเวทนา, ให้สะสมสิ่งดีคือมรรคมีองค์แปด, อาสวะจะถูกลอกออก ถอนออก, เราก็จะแจ่มใสขึ้นคือปัญญาจะเกิด, ก็จะละวางกำจัดความยึดถือได้ เป็นขั้นเป็นตอน.
- เจริญรัตนะสามประการ คือ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ และสังฆานุสติ, ยึดพุทโธ ธัมโม และสังโฆ เป็นที่พึ่งอันสูงสุด, พุทโธ หมายถึง การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า, หมายถึง จิตใจที่ตื่นรู้แล้ว, ธัมโม คือ องค์ความรู้ที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้จริง ที่จะต้องนำมาปฏิบัติเพื่อให้เกิดเป็นพุทโธขึ้นมาได้, สังโฆ หมายถึง การปฏิบัติของตัวเราเองที่อยู่ในจิตใจของเราเอง, พุทโธ ธัมโม สังโฆ ตั้งไว้ในจิตใจของเรา, ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้า ไม่มี, บ่มอินทรีย์ของเราให้มีความแก่กล้า, แก่กล้าแล้วจะทำให้การตรัสรู้ธรรมบรรลุธรรมของเรารวดเร็วขึ้นมาได้.
- ฝึกจิตโดยใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือ, ให้ลมหายใจของเราทำทางไปสู่อมตะ คือ ความไม่ตาย, ขณะที่เราใส่ใจสังเกตดูลมหายใจ นั่นคือ เกิดสัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ขึ้นแล้ว, พอเราทำสมาธิฝึกตั้งสติ เกิดสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะทันที, ตั้งไว้จากศีลทางกาย วาจาที่เรามี, สติที่มีกำลังมากขึ้น จะผลักดันให้เกิดสัมมาสังกัปปะ, สัมมาอาชีวะก็เกิดขึ้น, จิตเราจะระงับลง, การปรุงแต่งทางกาย ทางจิตระงับลง นั่นคือ จิตที่เป็นสัมมาสมาธิ, ครบองค์ประกอบแปดอย่างทันที, คือ ศีล สมาธิ ปัญญา, คือ สมถะ วิปัสสนา หรือคือสติอย่างเดียว, คนมีสติจึงได้รับความสุข คนมีสติจึงมีความเจริญในการพัฒนา คนมีสติจึงได้เป็นคนดี สามารถหลุดพ้นจากเวร มีการไม่เบียดเบียน มีเมตตา มีความรักใคร่เอ็นดู เป็นเส้นทางที่จะนำจิตของเราไปสู่ความหลุดพ้นได้
- เจริญธาตุกรรมฐาน คือ การแยกแยะธาตุในร่างกายของเรา เพื่อไม่ให้ยึดถือในตัวตนของเรา ตัวเราเป็นเพียงธาตุทั้งหกประกอบขึ้นมาเป็นชีวิต ธาตุทั้งหกจึง ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา, เป็นของภายนอกที่เข้าประกอบกันเท่านั้น, เราจะคลายความยึดถือได้ในตัวตนนี้, เราต้องอยู่เหนือผัสสะที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจเหล่านั้น, โดยเมื่อมีผัสสะเข้ามา, ให้เราทำจิตของเราให้เสมอด้วยแผ่นดิน เสมอด้วยน้ำ เสมอด้วยไฟ เสมอด้วยลม, ทำจิตของเราให้ว่าง ๆ เหมือนอากาศ, เพราะเราเองเป็นเพียงธาตุ เป็นของธรรมชาติ, ไม่ใช่ของเรา, ให้เห็นด้วยปัญญาอย่างนี้ เราจะคลายความยึดถือในตัวตนได้.
- ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คือ พุทธานุสสติ, ให้สติ จิต และพุทโธอยู่ด้วยกัน, จับจิตเพื่อฝึกจิต, ฝึกจิตเพื่อให้จิตมีกำลัง, ให้จิตของเรามีความรู้ คือ วิชชาเกิดขึ้น ว่า “จิต เธอไม่ต้องไปปรุงแต่งก็ได้”, จะทำได้ต้องก็มีปัญญา, จะให้มีปัญญาเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ธรรม คือ สติ สมาธิ ปัญญา สัมมาทิฏฐิ เห็นความเกิดขึ้น-เห็นความดับไปว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา แม้จิตก็ไม่ใช่ของเรา, จิตเราก็จะอยู่เหนือการปรุงแต่ง, มีสติ ทำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ, เราก็จะพ้นจากธรรมชาติสามอย่าง คือ ความเกิด ความแก่ และความตาย ได้, พระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นเพื่อนำพาเราให้พ้นจากธรรมชาติสามอย่างนี้.
- พลัดพรากให้เป็นธรรม ด้วยการมีสติ, พอเราเจอเรื่องทุกข์แล้ว ให้มี “สติ สัมปชัญญะ”, จะอดกลั้นเวทนาได้ด้วย “ธรรมสังเวช” หมายถึง ความร้อนใจที่พัฒนาจนอยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ได้, ให้ตระหนักถึงสิ่งที่ควรรีบทำ, รู้ถึงว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ให้เร่งรีบปฏิบัติ ให้มีความกล้าเผชิญความจริง ไม่เผลอเพลินไป, รีบดับไฟ, ไฟ คือ ความเกิด ความเจ็บ ความแก่ ความตาย, ไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มันเผาเราอยู่แล้ว เราต้องรีบดับไฟนี้เสีย สมาธิ สติ ปัญญา ใช้ในการพัฒนาจิตของเราให้หลุดพ้นจากสังขาร การเปลี่ยนแปลง ความยึดถือต่าง ๆ, ให้อยู่กับทุกข์ ก็ไม่ทุกข์ หรืออยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ได้ นั่นเอง.
- “การฝึก” จะทำ จิตของมนุษย์ทุกคนที่ได้ฝึกนั้น, ให้เป็นผู้ที่ประเสริฐขึ้นมาได้. ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ คือ บุคคลผู้ที่ฝึกแล้ว ประเสริฐกว่ามนุษย์ทั้งหลาย. ตั้งสติ โดยการใช้อานาปานสติ ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือ, ปิดช่องทั้งห้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย, เหลือแต่ช่องทางใจ, ขุดลงไปในจอมปลวก ในช่องทางใจ คือ การทำความเพียร, เมื่อมีสติ จะเกิดสมาธิ และเกิดปัญญา, เราใช้ปัญญาทำความเพียร ขุดลงไป, เราจะเจอจิต, จิตมีความเป็นประภัสสร นั่นคือ สมาธิ, เพ่งเฉพาะซึ่งจิตที่ตั้งมั่นแล้ว อุเบกขา ความวางเฉยจะเกิด, แล้วเอาอุเบกขานั้นมาพิจารณาให้เกิดปัญญา, เราจะเห็น สมาธิก็ไม่เที่ยง จิตก็ไม่เที่ยง, เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของเรา, ฝึกบ่อย ๆ, ฝึกด้วยปัญญา, วางซะ วางความยึดถือในจิตนี้, ฝึกด้วยสติ จะมีวิมุตติเป็นที่แล่นไปสู่ วิมุตติก็จะมีนิพพานเป็นที่แล่นไปสู่.
- เจริญอานาปานสติ กำหนดสติให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่เพลินกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในปัจจุบัน, ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว แต่เก็บไว้เป็นประสบการณ์ ปล่อยวาง ให้อภัยได้, ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง แต่วางแผนได้โดยไม่ไปยึดถือ, นี่คือการกำหนดสติอยู่กับปัจจุบัน ด้วยกำลังสติ สัมปชัญญะ เห็นแจ้งในธรรมปัจจุบัน, สร้างความเคยชินใหม่ อย่างเร่งด่วน, เพราะ เหตุแห่งความตายมีมาก, การอยู่แบบนี้มีคุณค่ามาก, แม้เพียง วันเดียวคืนเดียว, ท่านเปรียบว่า เป็นผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ เป็นมุนี, ให้เราสามารถเห็นทางออก, ทำความเพียร, เราจะพ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราชได้, ไม่เกิด คือ ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย.
- เจริญมรณสติ พิจารณาถึงความตาย ว่าความตายเป็นเหมือน ภูเขาหินศิลาใหญ่ กลิ้งบดปวงสัตว์มาโดยรอบทั้งสี่ด้าน ไม่มีใครรอดพ้นไปได้, ในช่วงเวลาที่เหลือ, เราจะอยู่ด้วยการ ประพฤติธรรม ประพฤติสม่ำเสมอ สร้างกุศล บำเพ็ญบุญ นั่นคือ อริยมรรคมีองค์แปด หรือศีล สมาธิ ปัญญา, ซึ่งเป็น ปฏิปทาในการดับอุปาทาน ดับตัณหา ดับ อวิชชา เพื่อให้มี วิชชาเกิดขึ้น นั่นคือ มีปัญญา, เมื่อ “ไม่มีเกิด ก็ไม่มีตาย”, เราจึงพ้นจาก ความตาย ได้นั่นเอง.
- พิจารณาปัจจัยสี่ โดยแยบคาย, เพื่อไม่ให้เผลอเพลิน ไปในการใช้สอยปัจจัยสี่ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน, เริ่มจากกำหนดตามดูลมหายใจ, “จิต ลมหายใจ สติ” อยู่ด้วยกัน เพื่อให้สติมีกำลัง แล้วจะเกิดเป็นสมาธิขึ้น, พิจารณาโดยแยบคายในปัจจัยสี่: เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย เภสัช ให้เป็นการภาวนา, โดยใช้ ปัจจัยสี่ เพื่อบำบัดความหนาว บำบัดความร้อน ป้องกันเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน บรรเทาอันตรายอันพึงจะมีจากดินฟ้าอากาศ, บริโภคอาหารแต่พออิ่ม เพื่อระงับเวทนา พิจารณาอาหารเป็นของปฏิกูล, สร้างกุศลในเสนาสนะ เป็นที่อยู่ พอที่จะหลีกเร้นบำเพ็ญภาวนา อย่าใช้เป็นที่ที่จะเสพกาม, บริโภคยาเพื่อบำบัดเวทนา, พัฒนาจิต เพื่อลดละกิเลส ภาวนาได้ตลอด 24 ชั่วโมง.
- เราพึงเป็นผู้ฉลาด ในวาระจิตแห่งตนเถิด เจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เห็นจิตในจิต เพื่อตรวจดูจิตของตนเอง, เพื่อทำความฉลาดในวาระจิตของตนเอง, 1. ตรวจดูจิตเราสงบ มาก-น้อยแค่ไหน, โดยใช้ “สติ” ตั้งขึ้น เพื่อให้จิตมีกำลัง, ลดการฟุ้งซ่าน ลดความคิดนึก, ลดความโกรธ, ทำอย่างต่อเนื่อง จิตจะระงับลง, มีอารมณ์อันเดียว, รักษาสมาธิด้วยสติ ให้ตั้งมั่นอย่างต่อเนื่อง, สำรวจดูบ่อย ๆ 2. ตรวจสอบ ดูจิตของเราว่า เรายังมีความยึดถือ ในสิ่งต่าง ๆ มาก-น้อยแค่ไหน, โดยใช้ “ปัญญา” ให้เห็นตามความเป็นจริง, พิจารณาสิ่งต่าง ๆ โดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ไตรลักษณ์) ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา, ลดความยึดถือในตัวตน, แม้แต่ ตัวจิตเองก็ไม่เที่ยง, มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา, เป็นทุกข์, ไม่ใช่ตัวเราของเรา, วิชชาเกิด อวิชชาดับ, จิตจึงพ้น คือ วิมุตติ, แล้วจิตจึงดำรงอยู่ด้วยสติ, จิตนั้น คือ จิตที่เป็นประภัสสร.
- เจริญอานาปานสติ เพื่อให้ สติ, จิต, ลมหายใจ อยู่ด้วยกัน, บางครั้งเราอาจเผลอ เพลินไปกับสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่าง ๆ, หากแต่ท่านบอกว่าให้สละสุขออก เพื่อเอาสุขที่ละเอียดยิ่งขึ้น ประณีตกว่า, ให้เราค่อย ๆ สละ สุขออก, ลักษณะแบบนี้ คือ การพัฒนา หรือภาวนา, สติ-สมาธิมีขึ้น, จากนั้นใคร่ครวญเพื่อให้เกิดปัญญาว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวง มีความไม่เที่ยง อาศัยเงื่อนไขปัจจัย ปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงไป, ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา, เป็นทุกข์ คือ ทนอยู่ได้ยาก, ไม่ควรที่เราจะไปยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา, พิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา, เพื่อละความยึดถือในตัวเราของเรา, ทำซ้ำ ทำย้ำลงไป “สละสุขพอประมาณ เพื่อให้ได้สุขอันไพบูลย์ ละเอียดประณีตกว่า”, จะ ละ สักกายทิฏฐิ, ละ วิจิกิจฉา, ละ สีลัพพตปรามาสได้ คือโสดาบัน และมุ่งสู่พระนิพพานอย่างเดียว, วิปัสสนา ที่เรากระทำแล้ว,[...]
- เมื่อมีสติ จิตจะแยกแยะ และไม่เพลินไปตามการรับรู้ที่ผ่านเข้ามา, จิตเราก็จะไม่สะดุ้ง สะเทือนไปตามผัสสะที่เข้ามากระทบ, รู้สักแต่ว่า “รู้”, หากแต่จิตที่มีอวิชชา ตัณหา จะไปเชื่อมติดกันกับสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านทางวิญญาณ (การรับรู้) เกิดความเพลิน คือ นันทิ, เชื่อมความอยาก (โลภะ), ความไม่พอใจเป็นโทสะ, ความไม่เข้าใจด้วยเป็นโมหะ, เกิดเวทนา เกิดความยึดถือ คือ อุปาทาน เกิดเป็นตัวตน คือ อัตตา, จิตเข้าไปก้าวลง เกิดสภาวะ, เกิดทุกข์ ไม่สิ้นสุด, เราทำวิปัสสนา เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริง พิจารณา ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา, ทุก ๆ สิ่ง มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ คือ ทนอยู่ไม่ได้ เพราะเปลี่ยนแปลงตลอด, ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขปัจจัย จึงไม่มีความเป็นตัวตน คือ เป็นอนัตตา, พิจารณา กายเป็นเพียงธาตุสี่ ไม่ใช่ตัวเราของเรา, พิจารณาอย่างนี้[...]
- ฝึกสติโดยการเจริญอานาปานสติ โดยเริ่มจากเสนาสนะอันสงัด คู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรง, ตั้งจิตให้สงบด้วยสัมมาสติ คือ ระลึกถึงสิ่งที่เป็นกุศล ด้วยลมหายใจเข้า-ออก ของเราเอง สติก็จะมีกำลังมากขึ้น, สติที่มีกำลังมากขึ้นนั้น เปรียบเหมือนเสา และเชือกที่แข็งแรง ไม่ล้ม ไม่ขาดไปตามแรงสัตว์หกชนิด หรืออายตนะทั้งหก, สติที่มีกำลังนั้น เปรียบเหมือนกระดองเต่าที่ป้องกันภัยจากสุนัขจิ้งจอก หรือผัสสะต่าง ๆ ที่เข้ามา ตลอดเวลา ๆ, เก็บจิตรักษาจิตของเราไว้ด้วยสติ เหมือนเต่ารักษาอวัยวะไว้ในกระดอง, พอจิตเรามีกำลังสติเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น, สมาธิก็เกิดขึ้นได้เอง เป็นสมถสมาธิ เป็นของประณีต, ทำให้มาก เจริญให้มาก, พัฒนาสมถะให้มาก, จิตเรา “ละ” ราคะได้.
- กำหนดจิตไว้ที่ลมหายใจ ตั้งสติไว้, สติก็เป็นตัวแยกวิญญาณ ออกจากจิต “ผู้ใดรู้ชัดซึ่งส่วนสุดทั้งสองด้าน ไม่ยึดติดในท่ามกลางเราเรียกผู้นั้นว่า เป็นมหาบุรุษ, ผู้นั้นชื่อว่า ล่วงพ้นเครื่องร้อยรัด” มีสติระลึกอยู่ตลอด, จิตไม่เผลอ คือ รับรู้เฉย ๆ กับผัสสะที่เข้ามากระทบ, ไม่เอานาม ไม่เอารูป, ในขณะนั้นจิตก็ไม่มีอวิชชา, ไม่มีตัณหา ความอยาก, อุปาทาน ความยึดถือก็จางคลาย, ความเป็นสภาวะ ภพ ก็ดับไป, เพราะไม่ไปยึดถือในส่วนสุดสองข้าง, อยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ อยู่เหนือการปรุงแต่ง อยู่เหนือนามอยู่เหนือรูป อยู่เหนือวิญญาณ อยู่เหนือสังขาร, อยู่เหนือ อวิชชา, อวิชชาตัณหากิเลสไม่เอา, จิตเราจะเข้าสู่ความเป็นอมตะ คือ ไม่ตายเพราะ ไม่เกิด นั่นคือ เป็นมหาบุรุษ.
- เจริญธัมมานุสสติ พิจารณาธรรมที่คู่กัน คือ อินทรีย์หก คือ ความเป็นใหญ่ของช่องทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และ อินทรีย์ห้า หรือพละห้า คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา โดยจิตที่มีกำลังจาก “อินทรีย์ห้า หรือพละห้า” จะทำให้เราไม่ไหลไปตามกระแสของตัณหาที่ไหลเชี่ยว จะช่วยให้เราทวนกระแสของ อินทรีย์หก โดยมี “สติ” เป็นตัวปรับจูน เพื่อให้กระแสน้ำของเรา ไหลไปตามกระแสแม่น้ำเดียวกัน ที่จะไปออกสู่ทะเลได้ คือ นิพพาน นั่นเอง.
- เจริญพุทธานุสติ ระลึกถึงคุณธรรมของพระพุทธเจ้า เพื่อไปตามทางที่ท่านพาดำเนินไป เปิดประตูแห่งประโยชน์, ใคร่ครวญธรรมะชื่อว่า ประตูแห่งประโยชน์, ท่านให้แนวทางไว้ หกประการ เพื่อใช้ตัดสินใจ แล้วได้ประโยชน์มากที่สุด หนึ่ง คือ ความไม่มีโรค, สอง คือ ศีล, สาม คือ การคล้อยตามผู้รู้, สี่ คือ การสดับรับฟัง, ห้า คือ การประพฤติธรรม และหก คือ ความไม่ท้อถอย, หกประการเหล่านี้เป็นประตูแห่งประโยชน์, เราจะมีความแจ่มแจ้งมีความเข้าใจ, จะรู้ทางไปที่ดีได้ จะเป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา.
- ช้างของพระราชาที่ควร ช้างสั่งให้ไปสู่ทิศใด ที่เคยไปหรือไม่เคยไป ก็ย่อมไปสู่ทิศนั้นโดยพลันท่านเทียว, เจริญอานาปานสติ เพื่อฝึกพาจิตของเราไปตามทางอันเกษม ทางอันมีองค์ประกอบอันประเสริฐแปดอย่าง ไปตามทางที่เราไม่เคยไป คือ นิพพาน, เปรียบเราเหมือนช้างที่ออกจากป่า คือ มีสัมมาทิฏฐิ เพื่อมาฝึกแสวงหาปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า (คนฝึกช้าง), เพื่อให้จิตสงบ ไม่เผลอเพลิน จึงจำเป็นต้องผูก “จิต” ไว้กับ “สติ” ด้วย “ลมหายใจ” เปรียบเหมือนผูกช้างไว้กับเสาด้วยโซ่ตรวน เมื่อสติมีกำลัง มากขึ้น, ควาญช้างจะสั่งให้ไปสู่ทิศใด ที่เคยไปหรือไม่เคยไป ก็ต้องไปสู่ทิศนั้น เปรียบเราฝึกจิต ให้รับคำสอนของพระพุทธเจ้า นอบน้อมเดินตามทาง, ที่เราไม่เคยไปในสังสารวัฏ, ให้จงไปตรงนั้น คือ นิพพาน, จุดทางเข้านิพพาน, คือ เราต้องเห็นรอยต่อ, รอยต่อ คือ เห็นความไม่เที่ยง, เห็นการเกิดขึ้น การดับไป ของทุกอย่างที่เราเห็น ได้ยิน ได้สัมผัสนั้น, ณ ปัจจุบัน, นั่นจะเป็นประตู, แล้วเคาะประตู คือ น้อมเข้ามาสู่ตัวเราว่า, จิตเราก็ไม่เที่ยง, ใคร่ครวญว่า[...]
- เจริญธัมมานุสติ คือ การระลึกถึงธรรมะ, ใคร่ครวญบทแห่งธรรมในชื่อที่ว่า อชาตสูตรคือการไม่เกิดอีก, ตั้งสติให้เกิดขึ้น จากการปรุงแต่ง คำว่าธัมโม, จนจิตระงับลง, อาจมีความคิดนึกนั่นคือ มีวิตก วิจารอยู่บ้าง นี่คือฌานหนึ่ง, นั่นคือ จิตเป็นสมาธิแล้ว, เกิดเป็นสัมมาสมาธิ, องค์ประกอบอันประเสริฐแปดอย่างได้เกิดขึ้นแล้ว, สติก็พัฒนาขึ้นไปอีก, ให้มีความละเอียดลงละเอียดลง, ความคิดนึก วิตกวิจาร ระงับ, เข้าสู่ฌานสอง, สติตั้งไว้ตลอด ต่อเนื่องๆ, ความระงับลงก็มากขึ้น ละเอียดลงไปอีก, จะเหลือแต่อุเบกขาสุข คือ วางเฉย แต่ยังมีสุขเจืออยู่ คือ ฌานสาม, สติเราตั้งไว้ไม่เผลอ ความระงับลงก็ลึกซึ้งไปอีก, เหลือแต่อุเบกขาล้วน ๆ คือ ฌานสี่, ฝึกทำอย่างนี้เข้า ๆ ออก ๆ อยู่เรื่อย ๆ, จนอินทรีย์แก่กล้า, ใคร่ครวญ ธรรมะพระพุทธเจ้า “สิ่งที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่ถูกอะไรทำ ไม่ถูกอะไรปรุง นั้นมีอยู่”, ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ถ้าว่า “การเกิด การปรุง[...]
- พิจารณาให้เห็นว่า “เหตุปัจจัยแห่งความตายนั้นมีมาก”, จึงควรอยู่ด้วยการไม่ประมาท ด้วยการเจริญมรณสติ, การเจริญมรณสติไม่ได้คิดถึงความตาย, แต่ให้คิดว่า ช่วงที่เราอยู่ เราจะอยู่อย่างไร, เราจะตัดกระแสนี้ได้ โดยการตั้งสติไว้, ให้คิดเรื่องที่ดี, อย่าให้มีอกุศล กาม พยาบาท เบียดเบียน, ทั้งทางกาย และความคิด, ถ้าจะคิด, ให้คิดอุเบกขา-วางเฉย, คิดมุทิตา-ยินดี, คิดกรุณา-ปรารถนาให้พ้นทุกข์, คิดเมตตา-ปรารถนาให้มีความสุข, พูดแต่เรื่องที่เป็นกุศล เรื่องที่จะเป็นความอ่อนน้อม ประนีประนอม, อย่าฆ่าสัตว์ ไม่โกหก ไม่ขโมย ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น แบ่งปัน ให้ทาน, ไม่ประมาท อยู่แบบนี้มีอานิสงส์มาก มีผลมาก เป็นทางที่จะไปสู่นิพพาน.
- เจริญพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ลุกขึ้นทำความเพียร ให้เห็นด้วยปัญญาว่า จิตนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเราของเรา, สติจะควบคุมจิตไว้ ไม่ให้สะดุ้งสะเทือนตามผัสสะที่เข้ามากระทบ, นั่นคือ บรรลุสันติธรรม คือ ความสงบจากสิ่งภายนอก, หากแต่ความสงบนี้ก็ไม่เที่ยง, เนื่องจากจิตมีความเป็นประภัสสร คือ เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ตามการรับรู้, หากเราไม่มีสติควบคุมไว้ สิ่งนั้นก็กลายเป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนือจิตขึ้นมาทันที, เกิดความเป็นตัวตนขึ้นมาอีก, ปัญญาจากการระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ, จะฉายให้เห็นว่า, จิตไม่เที่ยง, จิตไม่ใช่ตัวเรา, จิตเป็นเพียงกระแสของวัฏฏะ, ที่มีความต่อเนื่องๆ เกิด-ดับ เกิด-ดับ สืบต่อมา, ไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา, วางความยึดถือใน “จิต” นั้นเสีย, ให้มาทางมรรคมีองค์แปด, ทางกายให้เป็นไปด้วย สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ, ทางวาจาให้เป็นไปด้วยสัมมาวาจา, ทางใจก็ให้เป็นไปด้วยสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ, วางความยึดถือใน “จิต”, ปฏิบัติตามทางมรรคมีองค์แปด, มีสติสัมปชัญญะ, มีปัญญา, มีพระพุทธ[...]
- เจริญอานาปานสติ คือ เพื่อให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญา พิจารณาสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยกาย คือ ปัจจัยสี่, อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค นั้นเป็นไปตามธรรมชาติของเขา, ให้เห็นว่า “ธาตุมัตตะโก คือ สักว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ, ธาตุมัตตะเมเวตัง คือ เป็นของมันอยู่อย่างนี้ มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนี้, ยะถาปัจจะยัง คือ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันอยู่แล้ว, นิสสัตโต ไม่ได้เป็นสัตวะอะไรที่ยั่งยืน, นิชชีโว ไม่ได้เป็นชีวะอันเป็นบุรุษบุคคล ตัวตนเราเขา, สุญโญ ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน” พิจารณาปัจจัยสี่ อาหาร ยา ที่ทานเข้าไป ไม่มีชีวิต, ก็เป็นเพียงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุ ธาตุรู้, ถูกย่อยแล้วไปเสริมให้กายเราคงอยู่ได้ชั่วคราว คือ นิสสัตโต ไม่ได้เป็นอะไรที่ยั่งยืน, เป็นนิชชีโว ไม่ใช่เป็นตัวตน แต่อยู่ชั่วคราวตามเงื่อนไขปัจจัย, เป็นอย่างนี้ ด้วยความเป็นธาตุของเขาตามธรรมชาติ คือธาตุมัตตะโก, พิจารณาเจาะลึกเข้าไปถึงระดับโมเลกุล จะมีช่องว่างอยู่เต็มไปหมด, เป็นสุญโญคือว่างเปล่า ไม่ได้เป็นตัวตน,[...]
- ทุกอย่างในโลกล้วนเป็น “อิทัปปัจจยตา คือ ความที่สิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย แล้วจึงเกิดสิ่งนี้สิ่งนี้ขึ้น ไม่ได้เป็นของตัวมันเอง” พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอนิจจา เกิดขึ้นตลอดเวลา แม้แต่ลมหายใจเข้า-ออก ก็มีเหตุปัจจัยของเขา เกิดขึ้น ดับไป หรือตัวเราก็เป็นเพียงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ หรือธาตุรู้ ประกอบกันขึ้นเท่านั้น หรือแม้จิตเราก็เกิด-ดับตามผัสสะที่มากระทบโดยมีกายเป็นสื่อเท่านั้น นี่คือความจริง เป็นสัจจะ เราจะเห็นความจริงนี้ได้ด้วยสติ เมื่อมีสติ สมาธิก็เกิด มีสมาธิแล้วใคร่ครวญจึงเกิดปัญญาขึ้น สติ สมาธิ ปัญญา ก็คือ สติปัฏฐานสี่ ก็คือ อานาปานสติ เมื่อมีปัญญาที่ “ต่อ” มาจากพระพุทธเจ้า ตามแนวที่พระพุทธเจ้าพิจารณาเอาไว้, เราจะเห็นความจริงด้วยปัญญาว่า จิตของเราก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ควรที่จะไปยึดถือ “เมื่อปัญญาหรือวิชชาเกิด อวิชชาก็ดับ”
- เจริญอานาปานสติปัฏฐาน เพื่อฝึกตนให้เป็นบุคคลอาชาไนย, เอาจิตเพ่งอยู่ที่ลมหายใจ การเพ่งมีสองแบบ คือ เพ่งแบบกระจอก และเพ่งอย่างอาชาไนย, เพ่งแบบกระจอก คือ เพ่งไปในเรื่องที่จะให้เกิดนิวรณ์ ในเรื่องของความเศร้าหมองแห่งปัญญา จิตที่เพ่งกับสิ่งต่างๆ เหล่านั้น จะเพลินไปตามอารมณ์ จะสะดุ้งสะเทือนตลอดเวลา นั่นคือ บุคคลไม่อาชาไนย, หากแต่บุคคลอาชาไนย คือ ผู้ที่ใช้จิตจดจ่อ เพ่ง (ควบคุม) อยู่ที่ลมหายใจ เพื่อให้เกิดสติ เพื่อให้เกิดสมาธิ ไม่เพ่งไปตามนิวรณ์ ไม่เพลินไปตามผัสสะ จิตก็จะไม่สะดุ้งสะเทือน และพร้อมที่จะฝึกให้ยิ่งๆ ขึ้นไป, เมื่อจิตมีสติ เป็นสมาธิแล้ว เราใช้สมาธิเป็นเครื่องมือให้เกิดปัญญา ด้วยการ “น้อมจิต” ไป พิจารณากายเรา เป็นเพียงธาตุสี่ “ดิน น้ำ ไฟ ลม” เป็นธาตุสี่ที่เหมือนกับ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่อยู่ภายนอกเรานั่นเอง, จะเห็นว่ากายเราเป็นเพียงของที่ยืมเขามา, ไม่เที่ยง เพราะเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย, เมื่อเปลี่ยนแปลง จึงเป็นทุกข์ เพราะทนอยู่ไม่ได้, เมื่อเปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัย[...]
- เจริญธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน ใคร่ครวญธรรมะเรื่อง ขันธ์ห้า, ภาวนาพิจารณาอริยสัจสี่ หรือมรรคแปด ลงไปในขันธ์ทั้งห้าเพื่อให้เกิดปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ ขันธ์ห้า ที่มีเพียงรูปและนาม ด้วยจิตที่สงบให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนคือเป็นอนัตตา เปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขปัจจัย มีเกิด มีดับ อยู่ตลอดเวลา หากแต่เมื่อใด เราเผลอเพลินพอใจ ลุ่มหลงตามสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นอนัตตา, ความเพลินความพอใจนั้นคืออุปาทาน คือความยึดถือ เกิดขึ้นในสิ่งที่เป็นอนัตตา, จึงเผลอเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา เป็นเรา, เกิดเป็นอัตตาขึ้นมา, ทุกข์จึงเกิดขึ้น ไม่สิ้นสุด จะดับทุกข์ได้ ต้องเห็นขันธ์ทั้งห้าด้วยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเราของเรา ด้วยสติ, ด้วยมรรคแปด, ปราศจาก กาม พยาบาท เบียดเบียน, ศีล-สมาธิ-ปัญญา ก็รักษาจิตของเรา ให้มีความสงบ สติตั้งมั่น, พิจารณาความไม่เที่ยงในช่องทางใจของเรา, เห็นด้วยความเป็นอนัตตา, ละความยึดถือ, ความทุกข์ สะดุ้งสะเทือนไม่เกิด, ปัญญาซึ่งเป็นส่วนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เกิดกับเราทันที และได้ชื่อว่า เราเป็นผู้มีส่วนแห่งปัญญาของท่าน.
- เจริญพุทธานุสติเพื่อเข้าใจพุทธกิจ ห้าประการของพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นต้นแบบการบริหารจัดการเวลาของเรา พุทธกิจที่หนึ่ง ตอนเช้าบิณฑบาตด้วยปลีแข้ง โปรดสัตว์ให้ได้ให้ทาน, พุทธกิจที่สอง ตอนเย็นแสดงธรรมต่อคฤหัสถ์, พุทธกิจที่สาม ยามแรกแห่งราตรี อบรมภิกขุสงฆ์, พุทธกิจที่สี่ ยามกลางแห่งราตรี ตอบคำถามเทวดา, พุทธกิจที่ห้า ยามท้ายแห่งราตรี ตรวจอุปนิสัยสัตว์ใดมีอินทรีย์แก่กล้าที่จะบรรลุธรรม น้อมเข้ามาสู่ตัวเรา ในการแบ่งเวลา อย่างมีประสิทธิภาพ, ไม่ให้สิ่งที่เป็นมิจฉาสมาธิมาดึงเวลาของเราไป ด้วยการปิดช่องทางนั้นเสียเช่นจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม, ใช้สติสัมปชัญญะจากภายในของเราเอง, รวมถึงการทำแบ่งเวลาให้ทิศทั้งหกอย่างเหมาะสม หรือใช้ปัญญาพิจารณาว่า วันคืนล่วงไปๆ เราทำอะไรอยู่ ด้วยการทำอย่างนี้ การแบ่งเวลาของเราจะมีประสิทธิภาพ ให้เวลากับทุกด้านของชีวิตอย่างเหมาะสม นี่คือ การภาวนาในชีวิตประจำวัน
- เจริญพุทธานุสติด้วยการตามระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระถึงถึงเหตุการณ์ถึงตอนที่พระพุทธเจ้าใกล้ปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ธรรมะ และวินัยใดที่เราตถาคตแสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ธรรมะ และวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย สติตั้งไว้อยู่กับพุทโธ ธรรรมะนี่แหละที่เป็นศาสดา คือ ผู้สอนแทน จะเป็นสิ่งที่เราเคารพบูชา เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึกได้ รวมถึงคำสอนที่ออกมาในรูปของวินัย คือ ศีล ที่เป็นระบบแนวทางแห่งความสำเร็จ พระศาสดา คือ ผู้สอน คำสอน คือ ธรรมะ สังโฆ คือ ผู้ปฏิบัติ นั่นคือ อยู่ที่ตัวเรา ตราบใดที่เรามีสติตั้งไว้ มีคำสอนตั้งไว้ มีพุทโธ ธัมโม สังโฆอยู่ที่นี่ คำสอน คือ ธรรม และวินัยยังมีอยู่ ศาสนา คือ คำสอนก็ไม่ได้สูญหายไปไหน ให้ระลึกว่า เราเป็นหนึ่งในผู้ที่รักษาคำสอน เป็นหนึ่งในผู้ที่ปฏิบัติตามโอวาท ยังระลึกถึงองค์พระพุทธเจ้า ผู้ที่บอกสอนเอาไว้อยู่
- “พึงเข้าถึงปีติอันเกิดแต่วิเวก อยู่ตามการอันควรด้วยอุบายอย่างไร” ด้วย “ลมหายใจ”เป็นเครื่องมือที่จะหาความวิเวกในจิตของเรา ให้เข้าถึงความอิ่มเอิบใจ ความสบายใจที่อยู่ในภายใน ให้ยินดีในความสุข,ความปีติ, ความสงัด ให้หาจุดนี้ให้เจอ ด้วยความเพียร แล้วใช้ความเพียร ตรวจหาสมาธิให้เจอ, ตรวจหาคือสติ, พอมีความสงบ นั่นคือ สมาธิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และ สัมมาสมาธิ เกิดขึ้นแล้ว, สะสมสติ สะสมความเพียร สะสมปัญญา ทีละน้อยๆ จิตสงบ-ระงับ ที่เกิดขึ้นจากในภายใน ไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นๆ เป็นเครื่องล่อ นั่นคือปีติอันเกิดจากวิเวก หรือ นิรามิสสุข ความสะดุ้งสะเทือนหวั่นไหวไปตามการเปลี่ยนแปลง มันจะลดลงหรือมันถึงกลับไม่มีเลย, อกุศลดับไป ไม่เกิด กาม พยาบาท เบียดเบียน, ก็เหลือแต่กุศลอย่างเดียว, รู้จักแยกแยะได้, มีสติเป็นเครื่องสังเกต, มีปัญญาเป็นเครื่องรู้, มีสมาธิเป็นเครื่องอยู่, มีความเพียร มีศรัทธาเป็นกำลัง, อินทรีย์ห้า ก็เจริญขึ้นมา, อินทรีย์ห้า เป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้, อินทรีย์ห้าเจริญมีความแก่กล้าขึ้นมาก็ตรัสรู้ธรรม.
- การรอ-การหาความสุขจากผู้อื่น ท่านเปรียบเหมือนว่า เรายืมรถเขามาขับ ยืมเงินเขามาใช้ ถึงเวลาเราต้องคืนเขา หากแต่เราสามารถสร้างสุขของเราเองได้ ด้วยลมหายใจของเราเอง คือ การเจริญอานาปานสติ กำหนดสติอยู่กับลมหายใจอย่างต่อเนื่อง กุศลธรรมเจริญ อกุศลธรรมลด นั่นคือ ความเพียร ทำจริง แน่วแน่จริง จะเกิดความเพียรได้นั้น คือ เราต้องมีศรัทธา ศรัทธานั้น คือ ความมั่นใจว่า 1. เราต้องทำได้ 2. มั่นใจในกระบวนการที่ทำ 3. มั่นใจในผลสำเร็จของการกระทำที่ได้ จะมีศรัทธาได้ เราต้องเห็นทุกข์ เห็นปัญหา เห็นความไม่เที่ยง เห็นทุกข์จึงทำให้เกิดศรัทธา ผลักดันให้เราลงมือทำนั่นคือมีความเพียร เมื่อสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจ จะทำให้เราเกิดสมาธิ สะสมทีละนิด ทีละนิด จนเกิดเป็นปัญญา ปัญญาเป็นผลของการที่จิตเป็นอารมณ์อันเดียวผสมกับสมาธิ ผสมกับความเพียร ผสมกันแล้วเกิดปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เกิดความมั่นใจ คือ ศรัทธา เกิดความเพียร ลงมือทำ สติก็ยิ่งมีกำลัง จิตก็ยิ่งเป็นสมาธิ ปัญญาก็ยิ่งเกิด เห็นตามความเป็นจริง วนไปๆ เป็นวงจรแห่งความสำเร็จ ตามแนวทางของพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะ[...]
- เจริญอนิจจสัญญา คือ ความหมายรู้โดยเห็นความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ เห็นได้ด้วยปัญญา ปัญญาจะเกิดได้ด้วยมาจากสัญญา คือ ความหมายรู้ ซึ่งมีสองอย่าง คือ 1. สัญญาที่เป็นสมาธิ จิตรวมเป็นอารมณ์อันเดียว และ 2. สัญญาที่เป็นความรู้ ความจำ ส่วนสังขารก็มีสองอย่าง คือ 1. การปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงจากสัญญาแบบหนึ่งเปลี่ยนแปลงเป็นสัญญาอีกแบบหนึ่ง และ 2. พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึง“สิ่งทุกๆอย่างเป็นสังขาร (ปรุงแต่ง) หมด” เพราะอาศัยเงื่อนไขปัจจัยปรุงแต่งมา ทุกๆ สิ่งจึงมีความไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีความพร่องตลอด จึงเป็นทุกข์ เรียกว่าทุกขอริยสัจ ให้พิจารณาตามแนวทางของอริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง ไม่มีเจ้าของ ทุกข์ก็ไม่เที่ยง ต้องทำความเข้าใจสมุทัย หรือตัณหาก็ไม่เที่ยง ต้องละ ต้องดับ มรรคแปดก็ไม่เที่ยง แต่ต้องทำ หรือเจริญให้มากๆ จะเห็นว่าสังขารไม่เที่ยง เพราะมีเงื่อนไขปัจจัยอาศัยกันมา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีสาระแก่นสารอะไรที่จะเข้าไปยึดถือด้วยความเป็นตัวตน ปัญญา แสงสว่าง เกิดขึ้น ปล่อย ละ[...]
- “เจริญมรณสติ คือ การยอมรับความจริงถึงความตาย แล้วตั้งใจที่จะอยู่ ด้วยความดี คือ อยู่อย่างดีนั่นเอง” พิจารณามรณสติ เพื่อให้เกิดปัญญา เกิดความไม่ประมาท ไม่เพลิน พิจารณาโดยเฉพาะ “รอยต่อ” ว่ากายเรามีรอยต่อมาก ตายได้ตลอดเวลา กายเป็นเพียงธาตุสี่มาประกอบกัน เมื่อตายไปแล้วภพนี้พังลง กายนี้แตกลง ธาตุทั้งสี่ก็แยกจากกันไป ไม่เหลืออะไร จิตก็เหมือนกัน ตายได้ มีเกิด มีดับตลอดเวลา เกิด-ดับอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าเป็นกระแส เราจึงเข้าใจคลาดเคลื่อนคิดว่า กระแสนั้น เป็นตัวตน และคิดว่ามี “ตัวเรา” คงอยู่ตลอดเวลา จิตเราที่ตายแล้วจากภพก่อนๆ จะสะสมๆ เป็นอาสวะ แล้วไปยึดถือสิ่งอื่นๆ ทั้งนามและรูป เกิดในภพต่อๆ ไป ตามสภาวะการสะสมของเราเอง แล้วยังมี “รอยต่อระหว่างภพ” เราจะได้รับผลกรรมของเราเอง สุขหรือทุกข์ ขึ้นอยู่กับ สิ่งที่เราทำ ดังนั้น จึงต้องอยู่ด้วยความไม่ประมาท อยู่ด้วยความดี เร่งสร้างกุศล ละอกุศล ด้วยการรักษาศีล มีสัมมาวาจา มีการแบ่งปันมีการให้ มีเมตตา[...]
- “ผู้ใดทราบส่วนสุดทั้งสองด้วยปัญญาแล้ว ไม่ติดอยู่ในท่ามกลาง เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นมหาบุรุษ ผู้นั้นก้าวล่วงเครื่องร้อยรัดในโลกนี้ได้แล้ว” ถ้าส่วนสุดข้างหนึ่งเป็นเหตุ ส่วนสุดข้างหนึ่งเป็นผล ความดับจึงมีตรงกลาง คือ เหนือเหตุเหนือผล เพราะมีอวิชชาจึงมีสังขาร อวิชชาเป็นตัวที่ล็อคเชื่อมสิ่งต่างๆ อยู่ในโลกนี้ มีอวิชชาแล้วมีตัณหาด้วย ตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด เหตุผลต่างๆ ให้เกิดขึ้น เข้าหากัน แค่เรารู้เราเข้าใจ ตรงกลางมันเป็นตัณหา เป็นอวิชชา วิชชา คือ ความรู้ เกิดขึ้นทันที…
- เริ่มจากจุดที่มีปัญหา อย่าเริ่มที่คนนั้นมีปัญหา สิ่งนั้นมีปัญหา เรื่องนั้นมีปัญหา แต่ปัญหาทั้งหมด สุมรุมอยู่ในจิตใจเรา เริ่มที่ช่องทางใจของเรา..ตรงความกลุ้มใจกังวลใจ ความโกรธ ความไม่พอใจ จับได้ตรงไหน เล็งไปตรงนั้น เล็งให้ถูกจุด มันอยู่ตรงที่เรายึดถือ ถ้าตัดผิด แทนที่จะใช้ปัญญา ดันไปใช้กายวาจาใจตัด พูดทิ่มแทงพูดบังคับ ใช้กำลังขู่เข็ญ ความคิดนึกพยาบาทเบียดเบียนมุ่งปองร้าย นั่นคือ ไม่ถูก เป็นอกุศล ถ้าใช้ปัญญาในการตัด ปัญญาเกิดตรงที่เราสร้าง ตรงสมาธิสร้างปัญญา…
- “หากสิ่งที่มิได้เกิด มิได้เป็น มิได้ถูกอะไรทำ มิได้ถูกอะไรปรุง จะไม่ได้มีอยู่แล้วไซร้ ความรอดออกไปได้ของสิ่งที่เกิด ที่เป็น ที่ถูกอะไรทำ ที่ถูกอะไรปรุง จะไม่มีเลย เพราะเหตุที่มีสิ่ง ซึ่งมิได้เกิด มิได้เป็น มิได้ถูกอะไรทำ มิได้ถูกอะไรปรุงนั่นเอง จึงได้มี ความรอดออกไปได้ของสิ่งที่เกิด ที่เป็น ที่ถูกอะไรทำ ที่ถูกอะไรปรุงนั้น จึงปรากฎอยู่” เข้าใจธรรมชาติของความเกิดขึ้นความดับไปของสิ่งต่างๆ ด้วยเงื่อนไขปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่เพราะลูกศรมันยังมีอยู่ตลอด ดับไปแล้วเชื้อมันยังมี ก็เกิดขึ้นได้อีกทันที ลูกศรคือสังขารการปรุงแต่ง เชื่อมกันเพราะมีตัณหา ต่อไปแล้วก็ต่อไป ทำอย่างไรที่จะจบ ทางรอดมีอยู่…จะเข้าใจได้ จิตต้องสงบเป็นสมาธิ ในที่นี้เริ่มด้วยการเจริญอานาปานสติ
- “สมถะ…เมื่ออบรมแล้ว จิตจะเจริญ จิตเมื่อเจริญแล้ว จะละราคะได้ วิปัสสนา…เมื่ออบรมแล้ว ปัญญาจะเจริญ ปัญญาเมื่อเจริญแล้ว จะละอวิชชาได้” เพราะเกินกำลังของสติ ‘ความฟุ้งซ่านความง่วงซึม’ ถ้ามีสติเห็นแล้ว อย่ากังวลอย่าบังคับจิต แต่เห็นเป็นเครื่องหมายแล้วใช้ ‘สมถะวิปัสสนา’ ทำจิตให้สงบเป็นอารมณ์อันเดียว เห็นตามความเป็นจริงในความเป็นของไม่เที่ยงเป็นอนัตตาของสิ่งต่างๆ ที่มากระทบ จะปรับสมดุลมาตรงกลางได้ วางได้ สามารถละอาสวะที่เป็นรากเหง้าของอวิชชาได้
- “ในโลกไม่มีสิ่งใดๆ เลย ที่เมื่อเรายึดถืออยู่ จะเป็นผู้หาโทษไม่ได้” มีไหมในโลกนี้สักสิ่งหนึ่งที่ถ้าเมื่อเรายึดถืออยู่ มันจะหาโทษไม่ได้ ‘โทษในที่นี้ หมายถึง ความที่มันไม่เที่ยง ความที่มันเปลี่ยนแปลงไป’ เป็นไปตามอย่างที่เรายึดถือ ยิ่งยึดถือมากยิ่งมั่นคง มันจะมีความเป็นไปอย่างนั้นเหมือนเดิม ตามที่เราปรารถนาตามที่เรายึดถือเอาไว้ ไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ให้มันเที่ยงแท้เหมือนเดิมเป็นปกติ เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด ยิ่งถ้ายึดถือมาก ยิ่งมั่นคงมาก ยิ่งเที่ยงแท้มาก เป็นอย่างนั้นไหม มีไหม เราลองคิดดู
- ถึงเวลาที่จะปลดแอกตัวเราจากความยึดถือได้แล้ว ที่ไปยึดได้ คือ อุปาทาน เพราะเพลินพอใจในสิ่งใด มันติดกับสิ่งนั้นทันที โทษของมันก็มาด้วยเพราะความที่มันไม่เที่ยง จะกำจัดมันก็ละความยึดถือ อย่าให้เกิดความเพลินความพอใจ คือ เห็นโทษในความที่ไม่มีสาระไม่มีแก่นสาร เห็นบ่อยๆ จะเป็นอุบายเครื่องนำออกจากความยึดถือในสิ่งนั้น แต่ถ้าเห็นโทษอย่างเดียวไม่เห็นรสอร่อยไม่เห็นเหตุเกิดไม่เห็นสิ่งต่างๆ ครบถ้วน บางทีไปยึดกับการปฏิเสธทุกอย่างปฏิเสธสิ่งนี้ไม่เอาสิ่งนั้นด่าทอขี้บ่น มันก็ไม่ได้เรื่อง กิเลสมันเอาเราสองทางเสมอ สิ่งที่ไม่เป็นสาระ คือ ความที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนได้ แล้วเอาสิ่งที่เป็นสาระ คือ อะไรที่ทำให้เราเห็นความไม่เที่ยง มีปัญญามีสติมีสมาธินั่นคือ มรรค เห็นตามความเป็นจริงโดยความเป็นของไม่เที่ยงของขันธ์ห้า เจริญเกาะอยู่กับมรรคแปด จะทำให้สามารถที่จะเห็นขันธ์ห้าตามความเป็นจริงได้
- “ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุและความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะ มีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้” ธรรมะนี้นั้น เมื่อมาถึงหูของเราแล้ว จะเข้าสู่จิตใจของเราได้ไหม อยู่ที่จิตของเรามีความวิเวกหรือไม่ เพราะคนส่วนใหญ่ถ้าเผลอเพลินไป ที่ไม่ใช่แค่ความพอใจแต่ความโกรธความไม่พอใจด้วย จึงเห็นแต่ความดำรงอยู่ของมันด้านเดียว ไม่เห็นเหตุและความดับ แต่อะไรก็ตามที่มีเหตุเกิด ถ้าเหตุเกิดมันก็เกิด ถ้าเหตุดับมันก็ดับ ไม่ใช่มีอยู่ดำรงอยู่เท่านั้น จะเข้าใจได้ ในที่นี้จึงเริ่มด้วยการตั้งสติตามกระบวนการของพุทธานุสสติ จะไม่เพลิน แต่เห็นตามความเป็นจริง จะทำให้เราปล่อยวาง ละความยึดถือในจิตใจของเราได้
- เวลามันพัดตัวเราจากปัจจุบันกลายเป็นอดีตไปเรื่อยๆ สู่ความตาย แต่จิตที่มักคำนึงยึดถือยินดีพอใจถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว หรือคืบคลานต่อไปในอนาคต เห็นสิ่งต่างๆ โดยความเป็นของมั่นคงยั่งยืนเที่ยงแท้ มีความเพลินความพอใจ นั่นคือ ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่มีหลัก ไม่มีเกณฑ์ ถูกพัดไปตามกระแส แต่จะเป็นผู้ฉลาด มีปัญญาเห็นแจ้งตามความเป็นจริง แยกกายแยกใจ เห็นขันธ์ห้าโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบันด้วย “วางแม้ในสิ่งที่เป็นธัมม์ปัจจุบัน” เริ่มต้นด้วยการตั้งสติ “สติอยู่ตรงไหน ปัญญาอยู่ตรงนั้น” ตั้งสติไว้แล้ว สิ่งต่างๆ มันจะแยกจากกัน ทำไปเรื่อยๆ ตามกระบวนการของมรรค มันจะดับได้เอง “วางความยึดถือแม้ในจิต”
- ปฏิบัติภาวนาด้วยการเจริญอานาปานสติ เริ่มจากการตั้งสติ เพื่อให้เราฝึกทักษะการสังเกตอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ลมหายใจ สังเกตุทั้งกาย และจิต เพื่อการแยกแยะ มีสติแล้วสมาธิก็ตั้งมั่น จนเกิดปัญญาวุธ คือ ปัญญาที่เห็นทุกสิ่งในโลกนั้น เป็นสมมติ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา พิจารณาซ้ำๆ ลงไปก็จะเห็นตามความเป็นจริง เมื่อเกิดปัญญาวุธ เราจึงเห็นทุกสิ่งๆ มีแค่ “ธาตุ” เป็นองค์ประกอบ หาใช่ตัวเราไม่ หากแต่เรามีอุปาทานไปยึด ไปเกาะ ที่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราจะกำจัดอุปาทานได้ เราต้องพิจารณาขันธ์ทั้งห้า ว่าไม่เที่ยง เป็นอนัตตา พิจารณาย้ำ ซ้ำลงไปอีก จนจิตคลายกำหนัด คลายความยึดถือ อุปาทานก็จะลอกออกๆ กิเลสจะลดลงๆ แต่เรายังไม่สามารถถอนราก เหง้าของกิเลสนั่น คือ “ตัณหา และอวิชชา” ซึ่งอยู่ใน “จิต” ของเราได้ จนกว่าเราจะพิจารณาเห็น “ความไม่เที่ยงของจิต” บางทีก็เป็นประภัสสร บางทีก็เศร้าหมอง เมื่อไม่เที่ยง แม้แต่จิตเราก็ไม่เอา[...]
- ปฏิบัติภาวนาด้วยการเจริญธัมมานุสติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสัมผัสทั้งหมด ทั้งรูป-นาม ล้วนแต่มีเหตุ มีปัจจัย มีเงื่อนไข ต้องอาศัยสิ่งนี้ ต้องอาศัยสิ่งนั้นเกิด เป็นกฏธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว จึงมีความเป็น“อนัตตา” ไม่มีตัวตน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ คือ ความทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก เกิดทุกข์ที่ทนได้ยาก คือ ความทุกข์ และทุกข์ที่ทนได้ง่าย คือ ความสุข เหตุของทุกข์ คือ ตัณหา ความทะยานอยาก เมื่อเกิดผัสสะ ก็เกิดเวทนาความรู้สึก ยินดี ยินร้าย และเกิดตัณหา จิตเกิดความอยากมี ความอยากไม่มี จิตจึงเข้าไปยึดถือคืออุปาทานในสิ่งนั้น เกิดทุกข์ลงที่ “ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ” ไม่ได้เกิดที่ไหน จนเราคิดว่าเป็นตัวเรารู้สึกทันที เกิดเป็นภพ เป็นสภาวะ ผัสสะเกิดที่ไหน จิตอยู่ที่นั่น จิตอยู่ที่ไหน ความทุกข์เกิดที่นั่น ความทุกข์เกิดเพราะ มีความทะยานอยาก ตัณหา มีความยึดมั่นถือมั่น อุปาทานในสิ่งที่เป็นขันธ์ห้าทั้งหมด เกิดเป็นตัวตน คือ สภาวะ[...]
- เจริญอานาปานสติ เพื่อให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา เป็นทางแห่งพระนิพพาน เดิม...เพราะเรามีอวิชชาครอบอยู่ คือ ความไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าตัวเราเองเป็นอนัตตา (ไม่มีตัวตน) คิดว่าตัวเราเป็นอัตตา (มีตัวตน) พอไม่รู้ ไม่เห็นตามความเป็นจริง จึงได้โอกาสนายช่างผู้สร้างเรือน คือ ตัณหา ความทะยานอยาก ในสิ่งที่เราพอใจ ไม่พอใจ เพลินไป จัดสร้างโครงเรือนขึ้นมา ประกอบเป็นตัวตนด้วย ราคา โทสะ โมหะ (กิเลส) จึงให้ เกิดความรู้สึกว่านี่เป็นตัวตน เป็นตัวฉัน เกิดภพ เกิดชาติ ไม่สิ้นสุด... หากแต่พอเราให้กำลังกับ ปัญญา มรรค สมาธิ วิชชาด้วยการพิจารณาวิปัสสนา จะเกิดญานปัญญา คือ เห็นตามความเป็นจริงว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา” เห็นว่ากายเราเป็นเพียงธาตุสี่ เปลี่ยนแปลงตลอดด้วยเหตุ ปัจจัย ห็นเป็น “ทุกขลักษณะ” เห็นด้วยภาวนามยปัญญา จะเกิดความเบื่อหน่าย นิพพิทา จะคลายกำหนัด เห็นอยู่บ่อยๆ[...]
- “ฐานะ 2 อย่าง คือ ทั้งเกิด และทั้งดับ ไม่ว่าจะในกุศลหรืออกุศล ก็เกิดเวทนาได้” เจริญพุทธานุสสติ ระลึกถึงวาระที่พระพุทธเจ้าหลีกเร้นแล้วสำรวจสมบัติในเรื่อง “เวทนา” พระพุทธเจ้าทรงเตือนว่า เวทนามีในทุกสิ่ง ทั้งในมิจฉาสมาธิ ทั้งการเข้าไปสงบระงับแห่งมิจฉาสมาธิ ทั้งในสัมมาสมาธิ และการเข้าไปสงบระงับแห่งสัมมาสมาธินั้นด้วย สมาธิทั้งหมดนั้นมีการเสวยอารมณ์ คือ เวทนาแน่นอน แม้แต่ในขณะที่พยายามที่จะบรรลุ หรือบรรลุแล้ว เพียงต่างกันตรงที่ชนิดของเวทนา เมื่อมีเวทนาแล้วจึงเพลินไปหลงไปเข้าไปยึดถือในเวทนา ถูกจิตหลอก ทำให้สมาธิกลายเป็นพิษ แม้ในสัมมาสมาธิก็มีกับดักให้ไปยึดถือได้ ในทีนี้ยกตัวอย่างบุคคลที่ได้รับผลจากสมาธิที่เป็นพิษ คือ ท่านพระเทวทัต อาฬารดาบส และอุทกดาบสผู้รามบุตร เวทนาเข้าไปยึดถือได้ด้วยจิตของเรา ไม่ว่าเวทนานั้นจะเกิดจากอะไรก็ตาม มันเป็นกับดักของจิต จิตหลอกให้ยึดถือ มีความเป็นอัตตา วิธีแก้คือการอุดรูรั่ว ให้เห็นด้วยปัญญา ปัญญาเห็นไม่ใช่ตัวเราเห็น เห็นถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นำมรรคมาใช้ ขณะเดียวกันก็ให้ระวังรูรั่วในมรรค รูรั่วในมรรค คือ การเข้าไปยึดถือ และความไม่เที่ยงของมรรค เพราะมรรคก็คือการปรุงแต่ง เวทนาก็คือการปรุงแต่ง เห็นความจริง มีความหน่ายแล้ว ปฏิบัติกิจตามหลักอริยสัจสี่ จะอุดรูรั่ว[...]
- “เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา แต่เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งตัณหานั้น นั่นเทียว จึงมีความดับแห่งอุปาทาน นี่แหละ คือ ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งทุกข์” ปฏิบัติสมถะ วิปัสสนา โดยอานาปานสติ คือ ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือเพื่อให้เราเกิดสติขึ้น เมื่อมีสติ รับรู้ลมหายใจเข้า-ออก เกิดสมาธิ จิตสงบ ระงับลงๆ คือ เป็นสมถะ จากนั้นพิจารณาให้เห็นว่า ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง เกิดจากผัสสะที่เข้ามากระทบ เกิดเวทนา คือ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ จึงเกิดตัณหา จึงเกิดอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น เกิดภพ สภาวะ เกิดชาติ ชรา หมุนวนไป ไม่จบสิ้น จะดับทุกข์ได้ “จิตต้องเห็นเวทนาเป็นของไม่เที่ยง อนิจจัง เห็นเวทนาเป็นของสิ้นไปเสื่อมไป เป็นธรรมดา” เห็นอย่างนี้บ่อยๆ สะสมๆๆ เป็นปัญญา ตัณหาจะค่อยๆ จางคลาย จนจิตปล่อยวาง คลายความยึดมั่นถือมั่น ตัณหาดับ อุปาทานดับ ทุกข์จึงดับ นั่นเอง.
- ศรัทธาของใครก็ตาม จะต้องเป็นศรัทธาที่มีทรรศนะ คือ มีความเห็น เห็นด้วยตา ด้วยปัญญาอย่างนี้ เป็นมูลเป็นเหตุอย่างนี้ จะเรียกว่า เป็นศรัทธาที่มั่นคง คือ “มีศรัทธาถึงพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียว “ จะมีศรัทธาที่มั่นคง ไม่คลอนแคลนได้ ต้องเกิดจากปัญญาสามอย่าง คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟังเรียกว่า สุตมยปัญญา คือ ควรเลือกฟังจากผู้เป็นกัลยาณมิตร หากแต่ความศรัทธายังคลอนแคลนอยู่ได้ จึงต้องเพิ่มในปัญญาที่สอง คือ ปัญญาที่เกิดจากการใคร่ครวญคิดพิจารณาเรียกว่า จินตามยปัญญา คือ มีวิมังสา ตรวจสอบ พิจารณาเหตุผลคือมีมูลราก แล้วให้เกิดศรัทธา คือ ความเชื่อ ความมั่นใจ ความเลื่อมใส ที่มั่นคงกว่าสุตมยปัญญา หากแต่ยังสามารถเลื่อนไหล ไม่มั่นคง จึงต้องเพิ่มในปัญญาที่สาม คือ ปัญญาที่เกิดจากการพัฒนา เห็นแจ้งด้วยตัวเองจริงๆ เรียกว่า ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา มีวิริยะ ลงมือทำความเพียร คือ ปรารภกุศล ละอกุศล สติระลึกถึงแต่สิ่งที่เป็นกุศล เกิดโวสสัคคารมณ์ คือ จิตที่มีการปล่อยวางอารมณ์ เกิดสมาธิ[...]
- ใคร่ครวญมาในธรรมในหัวข้อศรัทธาที่ตั้งมั่นแล้วอย่างไรจึงจะชื่อว่าเป็นการได้อันยอดเยี่ยม ศรัทธาเป็นแรงผลักดันให้มีการลงมือกระทำ และเป็นตัวประสานสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน ในขณะที่ศีลจะเป็นพื้นฐานที่หนักแน่นให้ยืนอยู่ได้ ศรัทธา คือ ความเชื่อ ปสาทะ คือ ความเลื่อมใส เกิดได้จาก 3 ทาง คือ ประการที่ 1: ศรัทธาที่เกิดจากปัญญา ปัญญาจะเกิดได้ต้องมาจากการศึกษา การศึกษามาจากการฟัง ศรัทธาจึงฟัง ฟังจึงศึกษา ศึกษาจึงเกิดปัญญา ปัญญานั้นก่อให้เกิดศรัทธา ศรัทธาต้องเป็นระดับนิวิฎฺฐสทฺโธ ปสาทะต้องเป็นระดับนิวิฏฺฐเปโม คือ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ศรัทธาที่ตั้งมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต้องเป็นศรัทธาในระบบ ไม่ใช่ศรัทธาที่ตั้งไว้บนความรักความพอใจ เพราะศรัทธาต่อตัวบุคคลจะก่อให้เกิดโทษแห่งความเลื่อมใสนั้นได้ ศรัทธาในพุทโธ พุทโธไม่ใช่บุคคล แต่เป็นระบบของการตรัสรู้ ธัมโม คือ สิ่งที่จะเข้ามาสู่ใจ เป็นธรรมที่มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่ตัวอักษร สังโฆ คือ กลุ่มที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สุปฏิปัณโณ จึงจะไม่เป็นการประทุษร้ายต่อสกุล ประการที่ 2: ศรัทธาเกิดจากกัลยาณมิตร และการโยนิโสมนสิการ กัลยาณมิตร คือ กัลยาณธรรมจะทำให้ได้ฟังธรรม เป็นการให้จากภายนอก[...]
- บุคคลเมื่อให้ทานแล้ว ควรพัฒนาตนเอง และปฏิบัติตามกาลอันควรด้วย “วิเวกสามประการ” วิเวกสาม ประกอบด้วย 1. กายวิเวก วิเวกทางกาย กายที่ไม่มีอะไรมารบกวน 2. จิตตวิเวก วิเวกทางจิต จิตที่ไม่มีอะไรมารบกวน ด้วยสติที่ตั้งมั่นระลึกถึงจาคานุสสติ ทานที่สละออก เว้นจากกาม พยาบาท เบียดเบียน นิวรณ์ต่างๆ ด้วยจิตที่เป็นกุศล “สุขโสมนัสที่ประกอบด้วยกุศลธรรมจึงเป็นฐานะที่มีได้ในจิตบุคคล ผู้มีจิตตวิเวก” 3. อุปธิวิเวก วิเวกทางอุปธิ คือ จิตที่สงบระงับจากสังขารทั้งปวง ปราศจากการปรุงแต่ง การปรุงแต่ง นั้นคือ อุปธิ กิเลส ขันธ์ห้า กุศล อกุศล บุญ บาป นิวรณ์ กายวิเวก จิตตวิเวก และต่างๆ ก็เป็นอุปธิ เหมือนกันหมด ให้เห็น การปรุงแต่ง เปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยงเพราะอาศัยการปรุงแต่งกันและกันแล้ว จึงเกิดขึ้น มีเกิด มีดับ มีเกิด เรียกได้ว่า “เห็นอุปธิ เห็นกระแสแห่งการปรุงแต่งแล้ว[...]
- เจริญพุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ให้เกิดสติขึ้น เพื่อที่จะดับ ปปัญจสัญญา ปปัญจสัญญา คือ อนุสัย หรือกิเลส อันเป็นเครื่องทำความเนิ่นช้า เป็นเครื่องครอบงำ อุปนิสัย สันดาน หรือความเคยชิน ที่เกี่ยวเนื่องกับความชอบใจ คือ ราคานุสัย ที่เกี่ยวเนื่องกับความขัดเคือง ไม่พอใจ คือ ปฏิฆานุสัย ที่เกี่ยวเนื่องกับความคิดผิด คือ ทิฏฐานุสัย ที่เกี่ยวเนื่องกับในลักษณะที่ตั้งคำถาม เคลือบแคลง ไม่ลงใจ คือ วิจิกิจฉานุสัย ชนิดที่ถือตัว หมิ่นท่าน เรียกว่า มานานุสัย ชนิดที่เป็นตัวตนขึ้นมา คือ ภวราคานุสัย คือ การกำหนัดติดในภพ การพอใจในฐานะ ตำแหน่ง ความไม่รู้ ไม่เห็นจริงตามความเป็นจริงในสิ่งทั้งหลาย คือ อวิชชานุสัย เมื่อมีผัสสะเข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะเกิด เวทนา และเกิดอนุสัย ความเคยชินต่างๆ[...]
- เจริญธัมมานุสติ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ทำจิตให้สงบ โดยการเอาจิตจดจ่ออยู่กับสติ จนจิตสงบ ระงับ ต่อด้วยการเจริญวิปัสสนา คือ การสร้างปัญญาให้รู้เห็นตามที่เป็นจริง โดยการใคร่ครวญธรรมะ ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ทั้งหมดทั้งปวง ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง “ทุกข์” เมื่อใดที่เข้าไป “ยึดถือ” จะ “เกิดทุกข์” ทันที ขันธ์ทั้งห้า คือ กองทุกข์ ที่เกิดจากการยึดถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา เมื่อไปยึดถือจึงเกิดทุกข์ เพราะทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณเป็นอนัตตา คือ ไม่มีตัวตน จึงไม่เที่ยง คือ เปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขปัจจัยหรือเรียกว่าอนิจจัง จึงเป็นทุกข์ เพราะมีลักษณะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ พิจารณาธรรม โดยน้อมเข้ามาสู่ตน พิจารณาขันธ์ทั้งห้าของเราเอง ว่า “ไม่มีตัวตน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์” แม้แต่จิตก็ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นสภาวะแห่งการสั่งสม ไปยึดถือรูป เวทนา สัญญา สังขารผ่านทางวิญญาณ การรับรู้ ว่าเป็นตัวเรา หากแต่ความจริง ทั้งขันธ์ห้า[...]
- ใจเป็นของกลาง จิตเป็นประภัสสร เจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ด้วยการตั้งสติขึ้น ให้เห็นจิตในจิต ให้เห็นจิตที่มีความสงบระงับลง แยกกันออกไปจากเครื่องเศร้าหมองต่างๆ เราจะรักษาใจช่องทางนี้ให้ปกติอยู่ ใจนั้นต้องมีสติเป็นที่แล่นไปสู่ พอใจมีสติเป็นที่เล่นไปสู่, “สติ” นั้นจะทำให้ “ใจแล่นไปสู่วิมุตติ” ใจของเราก็จะพ้นได้ วิมุตติ แปลว่า พ้น พ้น นี่คือ แยกจากกัน “ใจของเราก็จะสามารถแยกจากส่วนที่เป็นกาย แยกจากส่วนที่เป็นเครื่องเศร้าหมองต่างๆ” ให้ใจมีความเป็นกลาง ได้ด้วยสติที่เราตั้งขึ้น ให้มีสัมมาสติ มีสัมมาวายามะ ความเพียร รักษาทั้งใจ ด้วยรักษาทั้งจิต ไม่ให้มีเครื่องเศร้าหมอง คือ ราคะ โทสะ โมหะ มาหุ้มห่อ กลุ้มรุมจิตเรา จิตจะมีความผ่องใสขึ้น มีความสะอาดขึ้น มีความประภัสสร ปราศจากอกุศล ด้วยสติที่เราตั้งเอาไว้ หากแต่จิตที่เป็นประภัสสรก็ไม่เที่ยง เราไม่ควรไปยึดถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา ให้ “วาง” เลย ไม่ยึดถือในสิ่งนั้น “ไม่มีกิจอื่นที่จะต้องทำขึ้น ยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว”
- เจริญอานาปานสติ ใคร่ครวญธรรม หมวดเรื่องของการบูชาไฟ “ไฟที่ควรละ ไฟที่ควรบูชา” ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ มีไฟอยู่สามกองที่ควรละ ควรเว้น เพราะเป็นไฟแห่งอกุศล คือ ไฟแห่งราคะ ไฟแห่งโทสะ ไฟแห่งโมหะ ไฟอีกสามประการที่ควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา จะต้องบริหารให้อยู่เป็นสุข คือ ไฟคืออาหุไนยบุคคล ไฟคือคหบดี ไฟคือทักขิไณยบุคคล ไฟคืออาหุไนยบุคคลได้แก่ มารดา บิดา ไฟคือคหบดี คือ คนรอบข้างตัวเรา ทั้งคู่ครอง ทั้งครอบครัว ทั้งญาติพี่น้อง คนงานและ ไฟคือทักขิไณยบุคคล คือ สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ใช้กาย วาจา ใจเป็นเครื่องบูชาที่จะประคับประคองไฟ คือ อาหุไนยะ คหบดี ทักขิไณยะ ได้โดยเริ่มจากให้มีสติ ตั้งขึ้นไว้ คือ มีสัมมาสติ, สัมมาวายามะ ตามมา คือ มีความเพียรพยายามเพิ่มกุศลธรรมตั้งจิตให้ดี รักษาจิตให้ถูก มีเมตตา มีอุเบกขา ก่อให้เกิด,[...]
- เจริญพุทธานุสติ ตามระลึกถึงความเพียรชนิดที่ไม่ถอยกลับของพระพุทธเจ้า ในตอนก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ท่านได้ตั้งจิตไว้ซึ่ง อปฺปฏิวาณี หมายถึง ความไม่ถอยกลับ คือ ไม่สำเร็จ ไม่เลิกกลางคัน คือ ภายหลังที่พระองค์กลับมาปฏิบัติตามทางสายกลาง อยู่ตามลำพัง แม้ว่ามีความเพียรในการปฏิบัติตามทางสายกลางอย่างสูง หากแต่ ก็มีหลายครั้งที่สมาธิก็เสื่อมไป จิตใจมีความสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง เกิดมีความท้อแท้ พระองค์จึงต้องการกำลังใจอยู่บ้าง พระองค์จึงทรงตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเองว่า ฉันต้องบรรลุธรรมให้ได้ เราจะต้องไม่ถอยกลับในการทำความเพียรนี้ อธิษฐานลงไปอีก ตั้งใจลงไปอีก แม้ว่ามีกองทัพมารมากวน พระองค์ก็ทรงมีจิตแน่วแน่ จะไม่ลุกจากที่นั่ง ถ้าไม่บรรลุธรรม อธิษฐานเอาไว้ตั้งใจมั่นอย่างแรงกล้าในการที่จะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จไม่เลิกกลางคัน นั่นคือ จิตตะ วิมังสา คือ การพิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญแก้ไขปรับปรุง มีฉันทะ มีวิริยะ คือ ความกล้า กล้าในการที่จะเผชิญหน้า กล้าที่จะลงมือทำ คือ อิทธิบาทสี่ จนเกิดปัญญา เห็นรูปแบบของการเกิด การดับ เห็นเหตุ ปัจจัย อาสวะ เห็นอริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ[...]
- ปรารภเรื่องราวการปฏิบัติก่อนเข้าปฏิบัติธรรมของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ที่จะเปล่งวาจาสั่งความคิดในทางกาม ทางพยาบาท และทางเบียดเบียน ไม่ให้ตามเข้าไป การกระทำที่เป็นการแสดงความเคารพในพระพุทธเจ้าจะมีอยู่ 3 ระดับ ตั้งแต่การแสดงออกทางกาย เหมือนที่พระเจ้าพิมพิสารถอดหัวโขนของกษัตริย์ออก การแสดงออกทางวาจา และการแสดงออกทางใจในการที่จะกำจัดกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก เมื่อเราจะเริ่มทำความดีมักมีเครื่องทดสอบ ก่อนอื่นเราต้องแยกแยะให้ได้ว่าเครื่องทดสอบนั้นคืออะไร จะแยกได้ก็ด้วยสติ ผัสสะ หรือเครื่องทดสอบนี้สามารถเข้าสู่ช่องทางใจของเราได้ตามประตูทั้ง 6 แต่เราจะอนุญาตให้เข้าสู่จิตได้หรือไม่ก็อยู่ที่ประตูที่สอง คือ สติ ทำให้การรับรู้นั้นเป็นเพียงรู้เฉย หรืออาจจะให้เข้าสู่จิตได้เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านก็ต้องรับรู้ก่อนมีความคิดก่อนก่อนที่จะแสดงธรรมนั้น พระพุทธองค์ทรงทำให้เห็นว่าเราสามารถเป็นผู้อยู่เหนือความคิดได้ นำความคิดนั้นมาใช้งานได้ ควรเข้าใจแยกแยะกุศลธรรมหรืออกุศลธรรมให้ถูก ดีหรือไม่ดีไม่ได้ดูที่สุขเวทนาหรือทุกขเวทนา เลือก input ดีๆ เมื่อเข้าใจได้ถูกแล้ว จิตจะมีพลังน้อมมาในกุศลแล้วจะ รวมลงเป็นสมาธิ วิธีการฝึกก็คือ 1. รักษาอวัยวะเหมือนเต่าหดในกระดองก็จะพ้นภัย รับรู้มาก่อนสติ 2. การใช้ลิ่มสลักของช่างไม้ 3. การรู้จักสังเกตุการแต่งตัวของหนุ่มสาว 4. การทำสมาธิทำจิตให้ละเอียดเหมือนความละเอียดของอิริยาบทต่างๆ และ 5. ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ต่อจิตที่มีความหยาบมาก ทำดังนี้จะเป็นผู้อยู่เหนือกามวิตก พยาบาทวิตก และวิหิงสาวิตกได้ในที่สุด ค่อยฝึกไปตามลำดับ
- เจริญอานาปานสติให้เป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพื่อให้เกิดสัมมาสติ ไม่ฟุ้งซ่าน พึ่งตนพึ่งธรรมด้วยการดูลมหายใจของเรา ให้สติอยู่กับลมหายใจ ไม่ลืมลม พอเราตั้งสติขึ้นมาได้จิตมีสติรักษา จะมีปัญญา ตอบสนองต่อผัสสะ อย่างมีสติ ไม่เกิดอกุศล ความฟุ้งซ่านลดลงได้ แล้วใคร่ครวญธรรมะ “อย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับด้วยการไม่จองเวร” การเห็นแก่ยาว คือ การจองเวรให้ยืดเยื้อ อย่าเห็นแก่สั้น คือ อย่าแตกร้าวจากมิตรให้เร็วนัก เห็นแก่สั้น ตัดมิตรภาพขาดออกสั้นๆ เราก็จะไม่มีกัลยาณมิตร หากแต่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า “ต้องมีกัลยาณมิตร” ให้เรารักษากัลยาณมิตร ให้เหมือนว่าเป็นอวัยวะที่อยู่ในร่างกาย เชื่อมต่อกับตัวเรา ผลที่ได้รับจากการ “ไม่เห็นแก่ยาว ไม่เห็นแก่สั้น” จิตใจของเราจะไม่มีการผูกเวร จะเกิดปัญญาเพื่อเชื่อมต่อ กัลยาณมิตร เกิดเป็นกลุ่มก้อน แล้วยังสามารถเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร อาจมีผิดพลาดกันบ้าง ให้มีสติตั้งขึ้นใหม่ “สติ” นั้นจึงเป็นตัวที่สำคัญ เป็นประธาน ในการที่จะให้จิตของเรานั้น ไม่เห็นแก่ยาว ไม่เห็นแก่สั้น ระงับเวร ตั้งสติสัมปชัญญะ เอาไว้ได้
- เจริญอานาปานสติ เพื่อที่จะควบคุมความคิด ควบคุมความคิด โดยการฝึกสติ ไม่ใช่หยุดคิด แต่เป็นการที่ให้รู้ความคิด คำว่า "รู้" หมายถึง มีสติ ระลึกรู้ โดยใช้เครื่องมือ คือ ลมหายใจ ลมหายใจเป็นป้อมยาม สติ คือ ยาม คือ การระลึกได้ เป็นยามมาอยู่ที่ลมหายใจ สติ-สมาธิ ไม่ใช่จะเป็นของที่ได้มาด้วยการข่มขี่ บังคับ ห้ามปรุงแต่ง แต่ได้มาด้วย “ความเพียร” จะได้มาด้วยความสงบระงับ มีอะไรให้ กำหนดรู้เฉยๆ สังเกตดูเฉยๆ ดูผัสสะต่างๆ ผ่านมาทางประตูทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เข้าสู่จิต เปรียบเหมือนสัตว์หกชนิด นก สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก จระเข้ งู ลิง ผูกไว้กับเสา คือ สติ ให้จิตน้อมไปทางมีสติ คือ อยู่ที่เสา หรือลมหายใจ “จิตน้อมไปทางไหน สิ่งนั้นก็ยิ่งมีกำลัง”[...]
- เจริญธรรมานุสติปัฏฐาน ใคร่ครวญธรรมะที่เรียกว่า อวิชชา “อวิชชาย่อมปรากฏเพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัย” อวิชชาแปลว่าความไม่รู้ ไม่รู้ในอวิชชาแปดอย่าง อวิชชามีคุณสมบัติ ทำให้เราเกิดความเพลิน จึงทำให้เรารู้เป็นส่วนๆ และไม่รู้ ไม่เข้าใจเรื่องราวสถานการณ์โดยรวมว่า สังสารวัฏ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นอย่างไร ความไม่รู้ทำให้เราไม่รู้ตัว เวลาถูกกิเลสเผาอยู่ ทำให้เราเข้าใจผิดพลาดไปว่า “ทุกข์คือสุข”, เข้าใจผิดว่า สัมมาวายามะ ทำความเพียรคือทุกข์, เข้าใจผิดว่าสัมมาสติ สัมมาสมาธิเป็นความเบื่อหน่าย อวิชชาปิดเรื่องราว ปิดความเข้าใจทำให้ เราไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด เพื่อให้ตัวอวิชชาเจริญขึ้น ๆ อวิชชาเจริญได้เพราะมีอาหารคือนิวรณ์ทั้งห้า วิจิกิจฉา ความฟุ้งซ่าน ความง่วงซึม ความโกรธ ความอยากความเพ่งเล็ง นิวรณ์ห้า เกิดจากความทุจริตทางกาย วาจา ใจ, ทุจริตสามเกิดจากไม่สำรวมอินทรีย์, ไม่สำรวมอินทรีย์เกิดจากการขาดสติ สัมปชัญญะ จนเกิดอกุศลขึ้น หากแต่เราฝึกสติ สัมปชัญญะ เรื่อย ๆ โดยการใช้ปัญญาพิจารณาอย่างแยบคาย หรือ โยนิโสมนสิการ โดยการหมั่นฟังพระสัทธรรม,[...]
- สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงกำลังตาย หรือตายอยู่ในบัดนี้ด้วย ตายแล้วในอดีตด้วย จะตายในอนาคตด้วย แม้แต่ตัวเราก็จะต้องตายเหมือนกันอย่างนี้ ความสงสัยในเรื่องการตายนี้ไม่มีแก่เรา เจริญสังฆานุสสติ เป็นการปฏิบัติบูชา ระลึกถึงสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดำเนินตามๆ กันมาตามทางอันมีองค์ประกอบอันประเสริฐแปดอย่าง ปฏิบัติธรรมสืบต่อกันมา ทำให้มีคำสอนของพระพุทธเจ้าสืบต่อมาถึงปัจจุบัน การปฏิบัติต้องประกอบด้วยสองส่วน คือ สมถะ และวิปัสสนา 1. สมถะ คือ การตั้งจิตมั่นให้สงบ เจริญสังฆานุสสติ จนจิตสงบ เป็นอารมณ์อันเดียว สติเป็นธรรมอันเอกจะทำให้เกิดสัมมาสมาธิได้ 2. วิปัสสนา คือ การเห็นตามความเป็นจริง เมื่อจิตสงบ เรามาพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาในสิ่งต่างๆ เห็นเกิด เห็นดับ ตลอดเวลา จนจิตเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด “นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” เห็นด้วย สติ สมาธิ ปัญญา ว่า “กายนี้ ตัวเรานี้ก็ตาย ตัวบุคคลก่อนหน้าเรามา ก็ตาย แล้วในอนาคตก็ต้องตายต่อไป มันเป็นธรรมดาอย่างนี้มันจะต้องตายอย่างนี้ ทุกคนตายเหมือนกันหมด” ให้เรามาตามทางที่จะไปสู่ประสาทแห่งธรรมะ[...]
- “เพราะ ธรรมชาติที่ย่อมสลาย เหตุนั้นจึงเรียกว่า รูป” เจริญกายคตาสติ พิจารณาร่างกาย ว่าร่างกายของเรานี้ คือ กองรูป คือ รูปขันธ์ ขันธ์หมายถึง กอง ที่มีแขนขา มีตัวมีหน้า มีอวัยวะภายในต่างๆ มารวมกันเป็นกลุ่มก้อน เขาจึงเรียกว่ารูปขันธ์ และมีส่วนที่เป็น “นาม” คือ เวทนาคือความรู้สึก สัญญา คือ ความหมายรู้ สังขาร คือ การปรุงแต่ง และจุดที่มันเชื่อมกันอยู่ของกายและใจ คือ วิญญาณ คือ การรับรู้ เกิดความเพลิน พอใจ ไปใน รูป สัญญา สังขาร วิญญาณ “เกิดความเพลินความพอใจเมื่อไหร่ ตรงนั้นแหละ คือ ตัณหา มา อุปาทาน คือ ตัณหามายึดถือ ขันธ์ทั้งห้านี้ ขึ้นเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ความยึดถือครองนั้น เป็น “กระแสต่อเนื่องกันมา” ในขันธ์ห้านี้ เกิดภพ[...]
- “…ภิกษุทั้งหลายพวกเธอพึงเป็นผู้มีสติ อยู่อย่างมีสัมปชัญญะเถิด…” ฝึกจิตให้มีสติ สัมปชัญญะ โดยเจริญอานาปานสติ เริ่มจากตั้งสติอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก สังเกตดูลมเฉยๆ คือ พิจารณาเห็นกายในกาย ขณะเดียวกันมีการรับรู้สิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รวมถึงธรรมารมณ์ ความคิดในช่องทางใจ จิตไม่เพลินไปกับผัสสะที่มากระทบ จิตเพียงรับรู้เฉยๆ ไม่ไปปรุงแต่ง จึงไม่เกิดอารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์ คือ มีสติ เกิดการแยกแยะ สัมปชัญญะก็จะตามมา คือ ความรู้ตัวรอบคอบในเรื่องที่เราคิด ในสิ่งที่เราทำ ในทุกอิริยาบถที่เราอยู่ นั่นคือ เห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย จิตเพียงรับรู้เฉยๆ ไม่มีอารมณ์ติดไปในงานนั้นๆ ทุกความคิด ทุกการงาน ทุกคำพูด ทุกอิริยาบถ ทุกที่ที่เราไป ทุกงานที่เราทำ จึงเป็นการภาวนาได้ ฝึกบ่อยๆ จะเป็นการภาวนาในทุกๆ ที่ได้ เพราะมีสติสัมปชัญญะ
- เจริญพุทธานุสติ ระลึกถึง คุณของพระพุทธเจ้า ในความมีกรุณาอย่างสูง ทรงประกาศธรรมะแก่สัตว์โลก ทรงเห็นว่าผู้มีธุลีในดวงตาแต่น้อย ยังมี ย้อนไป เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าทรงได้ตรัสรู้แล้ว ทรงนั่งพักใคร่ครวญ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ครั้งนั้น จิตของพระองค์ทรงแล่นไปทางขวนขวายน้อยในการประกาศธรรมะ ด้วยเห็นว่าหมู่สัตว์ในยุคนี้มีความอาลัยเป็นที่ยินดี, ยากนักที่จะเห็น “ปฏิจจสมุปบาท” หากแต่ ท่านท้าวสหัมบดีพรหม ผู้มีสัมมาทิฏฐิ ได้กราบทูลพระพุทธเจ้า ด้วยเห็นว่า คำสอนตามอริยมรรคมีองค์แปดนี้ จะเป็นทางที่จะนำพาให้หลุดพ้นจากกระแสของตัณหาได้ พระองค์ทรงไตร่ตรองด้วยพุทธจักษุ “เห็นสัตว์ที่มีธุลีในดวงตาแต่น้อยก็มี สัตว์เหล่านั้นจะเสื่อมจากคุณที่จะได้รับ ถ้าไม่ได้ฟังธรรม สัตว์ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจะมีแน่” จึงทรงประกาศธรรมให้แก่สัตว์โลก “ประตูแห่งนิพพาน อันเป็นอมตะ เราได้เปิดไว้แล้วแก่สัตว์ยุคนี้ สัตว์เหล่าได้มีโสตประสาท สัตว์เหล่านั้น จงปลงศรัทธาลงไปเถิด” ปฏิบัติด้วยศรัทธา ความเพียร สติ สมาธิ ปัญญา อินทรีย์ทั้งห้าต้องสูงเสมอกัน เพื่อเป็นอริยทรัพย์ ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งได้เพิ่ม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบให้เห็นผล ให้เข้าสู่กระแส โสดาบันเป็นผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ปิดประตูอบาย ปฏิบัติสูงขึ้นๆ ถึงพระอนาคามี จนบรรลุธรรมถึงพระนิพพาน ได้ในที่สุด
- 2 จิตตวิเวกความได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นการยาก ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเป็นอยู่ยาก การฟังพระสัทธรรมเป็นของยาก การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นการยาก ความน้อย ความยากนี้ให้เห็นด้วยสติ ด้วยปัญญา อย่าไปยึดถือในสิ่งที่มีค่าน้อย คืออย่าไปยึดกาย อย่าไปยึดจิต, ให้เห็นด้วยปัญญาในความเป็นของน้อยของชีวิต ปัญญานั้นจึงมีค่ามาก, ให้เห็นความไม่เที่ยง เป็นสรณะ, เห็นอุเบกขา หรือ ศีล เป็นที่เกาะเป็นที่พึ่งเพื่อภาวนา พัฒนาจิตให้เจริญขึ้นเพื่อให้เห็นอริยสัจสี่ เห็นมรรคมีองค์แปด เห็นศีล สมาธิ ปัญญาและวิมุตติ ปฎิบัติธรรมสมควรแห่งธรรม พัฒนาเป็นอริยบุคคล ทางดำเนินนั้นจะเป็นทางที่ไปสู่พระนิพพานคือดับเย็น
- พิจารณาความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งหลายโดยผ่านพุทธานุสติ สติจะเป็นตัวจัดระเบียบสิ่งต่างๆ ในช่องทางใจ ทำให้สามารถแยกแยะได้ จิตจะไม่ไปเกลือกกลั้วตามสิ่งที่มากระทบ เป็นการทอนกำลังของสิ่งนั้นลง เมื่อสติมีกำลังสมาธิจะเกิดขึ้น เอาความสงบนั้นมาเป็นฐานในการรื้อถอนอวิชชา ก่อวิชชาให้เกิดจากการใคร่ครวญโดยแยบคาย คือ ใคร่ครวญเห็นถึงความไม่เที่ยง ความเป็นอนัตตา ความไม่มีสาระแก่นสารอะไร ทุกสิ่งล้วนอาศัยเหตุปัจจัย ถ้าเงื่อนไขเหตุปัจจัยมีอยู่สิ่งนั้นก็ดำรงอยู่ ถ้าเงื่อนไขหายไป สิ่งนั้นก็ดับไป ถ้าเราเผลอเพลิน เราจะเข้าไปยึดสิ่งที่เป็นอนัตตาว่าเป็นอัตตา จะมีความทุกข์เกิดขึ้นทันที แต่ถ้าตั้งสติมีสมาธิใคร่ครวญโดยแยบคาย พิจารณาตามความจริงว่ามันขึ้นตามเหตุปัจจัย อุปาทานความยึดถือจะอยู่ไม่ได้จะคลายออก จะเห็นตามจริงในสิ่งที่เป็นอนัตตาว่าเป็นอนัตตา วิชชาเกิดขึ้นทันที ความพ้น คือ วิมุตติก็เกิดขึ้นเช่นกัน จะทำให้เกิดได้ต้องมีการประกอบพร้อมกันของปัญญา สติ สมาธิ ดำเนินมาตามระบบของมรรค เมื่อวางได้แล้วสิ่งที่เหลือ คือสติ คือปัญญากับจิตที่ดำรงอยู่ด้วยดี มีความร่าเริง ไม่หวาดสะดุ้ง จิตดับจากไฟของกิเลส ไม่สะดุ้งสะเทือนไปตามผัสสะ นี้คือ นิพพาน
- 2 จิตตวิเวกธรรมที่พระพุทธเจ้า ได้กระทำแล้ว แสดงแล้ว พระองค์ทรงสอนอย่างเปิดเผย แจ่มแจ้งชัดเจน หงายออก ไม่มีปิดบัง เป็นสวากขาตธรรม จึงไม่มีกำมือในธรรมะ ให้เราเป็นธรรมทายาท ให้เราปฏิบัติ “จงเป็นเจ้าของคำสอน อย่าเป็นเพียงผู้รักษาคำสอน” เจริญมรณสติ คือ พิจารณาความตายของตนเอง โดยเจริญพุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าช่วงก่อนปรินิพพาน เพื่อน้อมเข้ามาสู่การเจริญมรณสติของตัวเราเอง ให้เราระลึกว่าเหตุของความตาย คือ ความเกิด ทุกช่วงเวลาที่ผ่านไป ร่างกายมีเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา เกิด-ตาย เกิด-ตายอยู่ในเซลล์ร่างกายเราตลอดเวลา หากแต่เรารู้สึกเหมือนเดิมอยู่เพราะเป็นกระแส กระแสนี้จะถูกตัดลงได้ด้วยมัจจุมารซึ่งมีอยู่ทั่วไป แล้วเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ที่เกิดจากความตายมี 3 ประการ คือ 1. ทุกข์จากความกังวลว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไร 2. ทุกข์ว่าต้องพลัดพรากจากของรัก 3. ทุกข์ว่าจะมีความเจ็บจากขบวนการตาย เราจักมีความสบายใจมากขึ้นจากทุกข์ทั้งสามข้อนี้โดย 1. การเร่งทำความดี ด้วยทาน ศีล ภาวนา เพื่อให้เราระลึกถึงกุศลธรรม 2. ให้เราพิจารณาความตายว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ซ้อมไว้ด้วยการปฏิบัติหลีกเร้นทำจิตใจให้สงบ ให้พึ่งตน พึ่งธรรม 3. หากมีทุกขเวทนา ปฎิบัติสมาธิเข้าฌานให้ลึก จนกระทั่งข้ามพ้นจากทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นทางกาย[...]
- 2 จิตตวิเวกเจริญธัมมานุสติ คือ ใคร่ครวญไปตามธรรมะของพระพุทธเจ้า คือ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง การนอนให้เป็นภาวนา ก่อนนอนต้องกำหนดจิตให้มีสติสัมปชัญญะ โดยภาวนาพุทโธ หรือดูลมหายใจ น้อมจิตไปเพื่อการหลับว่า “บาป อกุศล อย่าตามเราไป ผู้ซึ่งนอนอยู่” ให้มีกุศลธรรมในจิตใจ จิตจะปราศจากราคะ โทสะ โมหะ เวลาหลับไปแล้ว จิตจะมีสติ เพราะมีสติสัมปชัญญะ ตั้งแต่ก่อนนอน ก่อนหลับ ระหว่างหลับ และการตื่นนั้นจะเป็นสุข ไม่ฝันร้าย การนอน การหลับที่อยู่ในสมาธิ นั่นคือ การนอนแบบเป็นภาวนา จักเป็นการพัฒนาจิตได้ และร่างกายจะได้รับการพักผ่อน ยังรวมถึงการเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก่อนนอน อานิสงส์ คือ หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้ายจะมีเทวดารักษา รวมถึงการเจริญมรณสติว่า หากเรานอนครั้งนี้แล้วไม่ลุกขึ้นอีก บาปอกุศลอย่าตามเราไป จิตเราจะเป็นกุศล จะทำให้จิตเป็นสมาธิ มีการพัฒนาทางจิตใจ การนอนนั้นก็เป็นการภาวนาได้
- พัฒนาจิตด้วยการเจริญพุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พลัดพรากให้เป็นธรรม ด้วยการมีสติ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นเป็นธรรมดา พิจารณาความทุกข์ทั้งปวง เกิดจากสิ่งนั้นมีความเปลี่ยนแปลง และเรายึดมั่นในสิ่งนั้นๆ ด้วยจิตที่ยังมี ราคะโทสะ โมหะ เกิดทุกข์ในที่สุด พอเราเจอเรื่องทุกข์แล้ว ให้มี “สติ สัมปชัญญะ” จะอดกลั้นเวทนาได้ด้วย “ธรรมสังเวช” หมายถึง ความร้อนใจที่พัฒนาจนอยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ได้ โดยให้ตระหนักถึงสิ่งที่ควรรีบทำ ความตื่นรู้ถึงว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง จึงให้เป็นผู้มีความเพียร เร่งรีบปฏิบัติ ให้มีความกล้าเผชิญความจริง ไม่เผลอเพลินไป ให้รีบดับไฟ ไฟคือความเกิด ความเจ็บ ความแก่ ความตาย ไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะ มันเผาเราอยู่แล้ว เราต้องรีบดับไฟนี้เสีย สมาธิ สติ ปัญญา ใช้ในการพัฒนาจิตของเราให้หลุดพ้นจากสังขาร การเปลี่ยนแปลง ความยึดถือต่างๆ เข้าใจแล้ว เราก็สบายใจได้ อยู่กับทุกข์ ก็ไม่ทุกข์ หรืออยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ได้ นั่นเอง
- 2 จิตตวิเวกโภชเนมัตตัญญุตา คือ การพิจารณาอาหารด้วยความแยบคายเป็นการใช้ปัญญา อานิสงส์นั้นได้ถึงการเป็นอนาคามี ในที่นี้ได้แยกการพิจารณาดังนี้ พิจารณาจากเวทนา เวทนาเก่าให้ลดหรือหายไป คือ ความหิว ความอยาก โรคภัยไข้เจ็บ เวทนาใหม่อย่าให้มี คือ ความอิ่มจนอึดอัด เวทนาใหม่ที่ระงับได้ เพราะอาหารบางประเภท แต่ต้องในปริมาณที่เหมาะสม โรคภัยใหม่ๆ ที่จากการกินเกินพอดีจากวัฒนธรรมน้ำจิ้ม ได้เปรียบการกินอาหารไว้กับอุปมา 3 อย่าง คือ อุปมาน้ำมันหยอดเพลาเกวียน ที่ใส่นิดเดียว ใส่มากไม่ดี ไม่ใส่ก็ไม่ได้ อุปมาผ้าปิดแผล ผ้าต้องพอดีเหมาะสม และอุปมาการกินเนื้อบุตร เห็นเป็นของปฏิกูล ไม่กินเพื่อเล่น ไม่กินเพื่อมัวเมา ไม่กินเพื่อตกแต่ง แต่กินเพื่อให้พอข้ามผ่านทางกันดารไปได้ เพื่อสะดวกต่อการประพฤติพรหมจรรย์ เทคนิคที่ใช้รับมือ คือ การนับคำทำให้จำกัดปริมาณ ไม่เกินต่อมอิ่ม กินมากเท่ากับฆ่าตัวตาย ก่อนกลืนให้นับครั้งการเคี้ยว จะทำให้รับรู้รสชาดได้เพิ่มขึ้นลดเวทนาใหม่ได้ และน้ำลายจะได้ลงไปช่วยย่อยในกระเพาะ นี้เป็นการฝึกสติสัมปชัญญะ นอกจากนี้ให้ระวังน้ำตาลตัวร้าย เพิ่มการทำ fasting สุดท้าย คือ การพิจารณาความเป็นปฏิกูลในอาหาร 10 ประการ
- 2 จิตตวิเวกพระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบการเข้าใจกายอย่างถูกต้องตามทางสายกลาง เข้าใจในรสอร่อย และโทษของมัน พร้อมกันนั้นได้ให้อุบายในการนำออก โดยการพิจารณาผ่านจักร 4 ทวาร 9 จักร คือ การหมุนวนเปลี่ยนแปลงไปในอิริยาบถทั้งสี่ตลอดทั้งวันทั้งคืน ทวาร 9 คือ ช่องให้ของไหลเข้าไหลออกเพื่อประกอบให้กายนี้อยู่ได้ ให้ใช้ปัญญาเห็นตามเป็นจริงในสรีรยนต์นี้ คำถามของเทวดาที่ถามพระพุทธเจ้าถึงการออกไปจากทุกข์จากสรีรยนต์ที่เต็มไปด้วยของไม่สะอาดจะมีได้อย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสตอบถึงการกำจัด 4 อย่างที่จะนำออกไปจากทุกข์ได้ นั่นคือ กำจัดการผูกโกรธ กำจัดกิเลสเครื่องร้อยรัด ถอนตัณหา ขุดราก คือ อวิชชา โดยใช้อาวุธ คือ ความคม=ปัญญา กำลัง=สมาธิ และเล็งให้ถูก=สติ สับกายหมดแล้วก็ให้เห็นว่าอวิชชาอยู่ในจิตด้วย ให้เห็นจิตโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา การเห็นตรงนี้เป็นปัญญา ปัญญาเห็น อวิชชาจึงดับไป จิตจึงดับไป
- 2 จิตตวิเวกเจริญอานาปานสติ เพื่อให้พบปัญญา รูป-นาม หรือ กาย-ใจ เชื่อมต่อกันด้วยวิญญาณ คือ การรับรู้ สติอยู่ ณ จุดที่ลมหายใจมาสัมผัส เกิดสมาธิสงบระงับ แล้วเดินปัญญาต่อ ให้เห็นความไม่เที่ยง โยนิโสมนสิการ พิจารณา ไตร่ตรอง ในสมาธิ ให้เห็น “นิมิตของความไม่เที่ยง นั่นคือ เกิดปัญญา เกิดดวงตา เกิดแสงสว่าง” แต่กิเลส ตัณหามันเหนียว ต้องทำซ้ำ ทำย้ำ พิจารณาดูความไม่เที่ยงอีก แม้ลมหายใจเข้า-ออกก็ไม่เที่ยง ทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เราไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา สติมีตลอดกระบวนการ เห็นปัญญาตรงนี้บ่อยๆ เราจะ “วาง” ได้
- 2 จิตตวิเวกเจริญอานาปานสติ โดยการสังเกต และตั้งสติไว้ที่ลมหายใจ ตั้งสติ คือ การแยกแยะ สังเกต จัดระเบียบความคิด ในช่องทางใจ เปรียบเหมือนผูกสัตว์หกชนิด ไว้ที่เสา สัตว์หกชนิดเปรียบเหมือน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ผูกไว้กับ “เสา คือ สติ” เพื่อไม่ให้จิตไปเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ เผลอ เพลิน การ “เสวยอารมณ์” ไปหลงคิดว่าเป็นความคิดของฉัน เป็นสุขของฉัน เป็นทุกข์ของฉัน เป็นตัวฉัน เพราะเข้าใจผิดคิดว่า ความนึกคิด จิต มโน วิญญาณ คือ สิ่งเดียวกัน คือ ก้อนเดียวกัน หากแต่ พอ “สติมีกำลัง” จากการฝึกสังเกตบ่อยๆ จะก่อให้เกิดกระบวนการแยกแยะว่า ธรรมารมณ์ (ความคิดนึก) กับจิต ไม่ใช่อันเดียวกัน สังเกตุแยก “รูป-นาม” ได้ (สิ่งที่ผ่านทางตา[...]
- 2 จิตตวิเวกเจริญอานาปานสติไว้ที่ลมหายใจ, สติคือการแยกแยะ แยกแยะผัสสะที่เข้ามากระทบ เป็นไปเพื่อการล้างกิเลสออก เพราะจิตหวั่นไหวขึ้น-ลง เสวยอารมณ์สุข-ทุกข์ ผ่านทางผัสสะที่มากระทบ, เราจึงต้องมีการจัดระเบียบในช่องทางใจด้วย “สติ”, ผลที่ได้คือ “ความละเอียด” หรือ การปรุงแต่งทางกายและจิตระงับ, เปรียบเหมือน ช่างทองล้างแล้วล้างอีก จนกว่าจะได้ทองคำ, “สติ วิญญาณ จิต กิเลส” ละเอียดลง ให้รู้เท่าทัน, เพื่อป้องกันการกลับกำเริบของกิเลส หรือการเผลอสติ เพราะจิตยังมี “อวิชชา” ข้อปฏิบัติที่ละเอียดลงคือปฏิบัติตามทางมรรคมีองค์แปดจะค่อย ๆ กำจัด อาสวะกิเลส จากกิเลสอย่างหยาบจนถึงกิเลสอย่างละเอียด ทำซ้ำ ทำย้ำ สับให้ละเอียดจนไม่เหลือเงา ไม่เหลือรากของอวิชชา ให้เห็นตามความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ ความเป็นอนัตตา ซ้ำๆ ย้ำๆ สับลงไป มันจะเกิดความเบื่อหน่าย คือ “นิพพิทา” ใช้ “ปัญญา เห็นตามความเป็นจริง เห็นความไม่เที่ยง เห็นการปรุงแต่ง” แม้จิตก็ไม่เที่ยง แล้ว “วาง” ซะ จิตเราจะพ้น คือ วิมุตติ[...]
- 2 จิตตวิเวกเจริญอานาปานสติ ตั้งสติให้ระลึกถึงลมหายใจ จิตจะค่อยๆรวมลงๆ เกิดปัสสัทธิ คือความสงบระงับเป็นอารมณ์อันเดียว เกิดเป็นสมาธิ พระพุทธเจ้าท่านทรงเตือนเพื่อให้เราคอยตรวจตราจิตใจเรา อยู่สามข้อคือ ให้เราเป็น “ธรรมทายาท” อย่าเป็นอามิสทายาท, อย่าทำตัวเป็นศัตรูหรือปฏิปักษ์ แต่ให้ทำตัวเป็น “มิตรหรือมีความสอดคล้องกับพระพุทธเจ้า”, อย่าเป็นคนสุดท้าย แต่ให้เป็นคนที่จะสืบต่อธรรมะต่อไปด้วย “สติ” ท่านทำให้เป็นเหมือนกระจกเงา ให้เราพิจารณาตัวเราตลอดเวลา แม้ถูกกิเลสมารตัดออกไป เราก็ยังสืบต่อความดีด้วย “สติ”ตั้งมั่นใหม่ ไม่เป็นคนสุดท้าย จะมีเมตตา กรุณา อุเบกขา ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเราเป็น “มัคคานุคาคือผู้เดินตามมรรค” เราก็จะเป็นผู้รับมรดกทางธรรมเป็นธรรมทายาท ได้ลิ้มรส “อมตะธรรมคือพระนิพพาน” ของพระพุทธเจ้าได้ ให้เราประคองรักษาจิต รักษาสติ อยู่อย่างนี้ได้ตลอดทั้งวัน แล้วให้เห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามที่ความเป็นจริงในสิ่งต่าง ๆ ว่า “นั่นไม่ใช่ตัวเรา นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา”
- ปฏิบัติภาวนาด้วยการระลึกถึงสังโฆ สังโฆคือผู้ปฏิบัติจนรู้แจ้ง ให้เราระลึกถึงคุณของสังโฆ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้แจ้งโลก ผู้เห็นทุกข์ คือ เห็นธรรม เข้าใจอริยสัจสี่อย่างแจ่มแจ้ง เปรียบเหมือน ปัจจันตนครที่มีเครื่องป้องกันเจ็ดปราการ โดยมีนายทวารหรือทหารยาม ฉลาด สามารถดี คือ มีสติ ห้ามไม่ให้คนที่ไม่รู้จักเข้า คือ สติรักษาไม่ให้อกุศลจิตแทรกผ่านประตูเข้ามา อนุญาตให้เฉพาะคู่ราชฑูต คือ สมถวิปัสสนา มาส่งสาสาส์น คือ การเห็นตามความเป็นจริงคือนิพพาน สู่เจ้าเมืองคือวิญญาณ โดยผ่านตามทาง คือ มรรคแปด เมื่อผัสสะมากระทบผ่านประตูทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สติที่มีกำลังจะสังเกต แยกแยะ และก่อให้เกิด สมถวิปัสสนา เข้าสู่จิต เห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงในผัสสะที่มากระทบ ทั้งรูป ทั้งนาม ขันธ์ทั้งห้าเป็นกองทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา วิญญาณเมื่อได้รับข่าวสารที่เป็นวิชชาเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ พ้น คือ วิมุตติ โดยมีนิพพานเป็นที่แล่นไปสู่ จิตก็หลุดพ้น[...]
- 2 จิตตวิเวกฝึกพลังสติให้จิตใคร่ครวญไปในธรรม สติปัฏฐานสี่ คือ เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม ฝีกให้ชำนาญในสติปัฏฐานสี่ จากการเพิ่มพลังสติ การเพิ่มพลังสติมีห้านัยยะ โดยผ่านสติปัฏฐานสี่ คือ เราจะแค่รับรู้ “สังเกต”เห็นเฉยๆ ในสติปัฏฐานสี่ ด้วยสติ, พอสติมีกำลังแล้วจิตจะ “แยกแยะ”, แล้วจิตก็ “แยกตัว” ออก ไม่ตามสิ่งต่างๆ นั้นไป, จิตนั้นก็สามารถเลือกได้ว่าจะตอบสนองอย่างไร นั่นคือ จิตมี “ทางเลือก”, ก็จะเกิด “พลังสติ” ห่อหุ้มจิตเอาไว้ พลังสติทำให้เกิดสมาธิ เมื่อมีสมาธิตั้งมั่นแล้ว เราจะต้องใช้ปัญญา พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น ความดับไป, แม้จิตเราก็ไม่เที่ยง ไม่ควรที่จะเห็นเป็นตัวเรา เป็นของเรา “ละความยึดถือในกาย ในจิต” ให้เราอยู่กับสติ อยู่กับปัญญา, รักษาพลังสติ พลังปัญญา นี้ไว้ให้ดี.
- 2 จิตตวิเวกปฏิบัติภาวนาโดยการระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ในความเพียรสูง และการใช้ปัญญาอย่างสูงของพระองค์ ความสำเร็จของท่านเกิดจากการใช้ปัญญาอยู่บนพื้นฐานของสมาธิ มีศีลเป็นบาทฐาน ขอให้เรามี ความหวัง คือ ศรัทธา ลงมือทำ คือ วิริยะ ตามเส้นทาง คือ มรรคมีองค์แปด คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ความสำเร็จเกิดขึ้นได้แน่นอน ปัญหา ความทุกข์ ความท้อใจ ความผิดหวัง คือ โอกาสให้เกิดความสุข ให้เกิดกำลังใจ ให้เกิดความหวัง ใช้สติจดจ่อเอาไว้ ให้เกิดปัญญาเห็น ความเกิด-ดับ ความไม่เที่ยง ให้ได้ ให้เราเร่งความเพียร คือ ต้องมีกำลังใจ ความหวัง ตั้งใจปฏิบัติในเวลานี้ ในเวลาที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น เวลาที่มีคำสอนของพระองค์หลงเหลืออยู่ และเราได้เป็นมนุษย์ จงอย่าประมาท
- 2 จิตตวิเวกฝึกปฏิบัติด้วยการระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ เพื่อให้เกิดสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ปัญญาจะเกิดขึ้น จะทำนิพพานให้แจ้ง ละอาสวะกิเลสได้ จิตตั้งอยู่กับพุทโธ ธัมโม สังโฆ ปักเป็นยอดธงเอาไว้ จิตจะไม่ไปสะดุ้ง สะเทือนกับการเปลี่ยนแปลง สติห่อหุ้มจิตเป็นเยื่อบางๆ ไว้ ไม่แปดเปื้อนกับสิ่งที่มากระทบ สติมีกำลัง ความระงับของอายตนะค่อยๆ เกิดขึ้น เกิดอารมณ์อันเดียว ปีติ ปราโมทย์ เกิดสัมมาสมาธิ เกิดทาง.. ที่จะต่อสู้กับกิเลส อาจมีความท้อใจบ้าง ให้แน่วแน่ที่ยอดธง คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นเกราะ เป็นที่พึ่ง จะเกิดปัญญาแทงตลอด ให้เห็นตามความเป็นจริง เห็นความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นอนัตตา ได้
- 2 จิตตวิเวกฝึกปฏิบัติให้สติของเรากำหนดไว้อยู่ในกาย คือ กายคตาสติ พิจารณา “ทุกขสัญญา” คือการกำหนดหมายโดยความเป็นทุกข์ของสิ่งต่างๆ มองด้วยปัญญาจากสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ให้เห็น “ขันธ์ทั้งห้า” เป็นของทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก เปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัย แต่จิตของเราหลอกอยู่ให้เห็นว่า ขันธ์ทั้งห้าเป็น “สุขสัญญา” สุขจากการกินอิ่ม นอนหลับ เดินได้จนมีความเพลิน พอใจ ปรุงแต่ง รับรู้ เกิดอุปาทาน ยึดถือว่า ขันธ์ทั้งห้าเป็นของเรา เกิดตัณหาว่าต้องการให้มันเที่ยง นิจจัง แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น ความทุกข์จึงเกิด ขันธ์ทั้งห้าไม่ใช่ของสุข ที่แท้มันเป็นของทุกข์ เราต้องไม่เพลิน พอใจ หลงยึดถือ มันไม่ใช่ของที่จะเป็นสาระแก่นสาร จะมาหาความเมา ความสุขในสิ่งที่เป็นของหนัก ในสิ่งที่เป็นของทุกข์ มันไม่ได้ เราต้องวาง “ของหนัก” คือ ขันธ์ทั้งห้า คือ ไม่ไปยึดถือทั้งสุขเวทนา และทุกขเวทนา สุขที่เหนือกว่าสุขเวทนา คือ สุขแบบเย็นๆ คือ นิพพาน มันชุ่มเย็นอยู่ในใจ ทำตรงนี้ให้ได้บ่อยๆ[...]
- 2 จิตตวิเวกในการปฏิบัติตามทางที่มีองค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่างเพื่อให้ได้ ‘สามัญญผล’ นั้น ต้องอาศัยการปฏิบัติที่ละเอียดลึกซึ้งลงไปตามลำดับขั้นตอน เริ่มจากการมี ‘หิริโอตตัปปะ’ เพื่อรักษาความประพฤติทางกาย วาจา ใจ การดำเนินชีวิต ไม่ยกตนข่มท่าน คือ เป็นไปเพื่อให้มี ‘ศีล’ ที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นนั่นเอง อย่างไรก็ตาม เท่านั้นยังไม่พอ สามัญญผลยังต้องอาศัย ‘ศีลที่เป็นไปเพื่อสมาธิ’ ได้แก่ การสำรวมในอินทรีย์ การรู้ประมาณในการบริโภค การประกอบตนอยู่ในธรรมอันเป็นเครื่องตื่น การมีสติสัมปชัญญะ และการอยู่ในเสนาสนะอันสงัด เพื่อรักษาจิตของเราให้สงบลงเป็นสมาธิ เพื่อทำความรู้ให้เกิดขึ้นโดย พิจารณาตามอริยสัจ 4 ให้เห็นถึงความเป็นของไม่เที่ยงแม้แต่ตัว ‘จิต’ เอง เพื่อ ‘การปล่อยวาง’ และตั้งอยู่กับ ‘สติ’ เพื่อรักษาจิตที่เป็นสมาธินั้นไว้ให้ดี
- “ตื่นท่ามกลางผู้หลับ หลับท่ามกลางผู้ตื่น” หากเปรียบเทียบกับ ปุถุชนที่เต็มไปด้วยกิเลส หลับไปเพราะความประมาท เราถือว่าเป็นผู้ตื่น หากเปรียบเทียบกับพระอรหันต์ที่หมดกิเลสราคะแล้ว เรายังถือว่าเป็นผู้หลับอยู่ สติระลึกถึง “พุทโธ” สติอยู่กับพุทโธ สติก็มาเนื่องกับจิต จิตก็ได้รับการรักษาด้วยสติ เมื่อมีผัสสะเกิดขึ้น สติที่รักษาจิตดีแล้วจะรับรู้ผัสสะ แต่ไม่ไปเกี่ยวเนื่องในผัสสะนั้นๆ คือ จิตสามารถแยกแยะ และแยกตัวจากอารมณ์ หรือสิ่งที่มากระทบได้ นั่นคือ “จิตที่สำรวม ระวัง” ได้ชื่อว่าเป็น “จิตที่ตื่นอยู่ ไม่ประมาท” ผู้มีสติ คือ “ตื่นแล้ว” หลับอย่างมีสติ ก่อนนอนให้ตั้งสติ ขอบาปอกุศลอย่าตามเราไปในขณะนอน เราจะไม่ฝัน พอไม่ฝัน ราคะ โทสะ โมหะก็ตามเราไปไม่ได้ และหากรู้ตัวให้ตื่นขึ้นทันที หรือเตรียมตื่นในขณะที่นอนหลับ อย่างนี้เรียกว่า มีสติสัมปชัญญะในการนอน ตื่นและหลับอยู่ ให้มี “สติ” ตลอดเวลา เมื่อจิตพัฒนาขึ้นๆ จะเกิด “ปัญญา” เห็นความไม่เที่ยงของจิตว่าเดี๋ยวสงบ เดี๋ยวฟุ้งซ่าน ไม่ควรที่เราจะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา ปล่อยวาง ให้ “สติและจิต” อยู่ด้วยกันตลอด[...]
- 2 จิตตวิเวก“ความแก่ ความเจ็บ ความตาย” เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นกับทุกคน และเป็นสิ่งที่เกิดเฉพาะตน ไม่สามารถทุกข์แทนกันได้ “สติ” เป็นองค์ธรรมแรกที่สำคัญ ทำให้เราหลุดออกจากทุกข์ในวัฏฏะของ “ความแก่ ความเจ็บ ความตาย” ได้ สติเป็นทักษะที่ฝึกได้ เริ่มจากการ “ตั้งสติ” ระลึกถึงคุณตวามดีของ “พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์” ว่า “มีคุณมหาศาล เกิดขึ้นได้ยากมากๆ” จะช่วยทำให้จิตเราตั้งอยู่ใน “กุศลธรรม” ได้ตลอดเวลา ด้วยเหตุที่ว่า “เมื่อจิตตริตรึกคิดนึกไปทางใด จิตย่อมน้อมไปด้วยอาการนั้น” ดังนั้น เมื่อเราระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ สิ่งดีๆ ที่เป็นกุศลธรรม ปัญญา ความเพียร ความอดทน ต่างๆ จะมาครอบงำจิตใจของเรา อารมณ์ต่างๆ ที่เป็นอกุศล เช่น ความกังวลใจ ความทุกข์ จะครอบงำจิตใจเราไม่ได้ เมื่อมีสติอย่างต่อเนื่อง เราจะมีสมาธิ เกิดปัญญามองเห็นความแก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องปกติ เห็นความไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ “เราจึงไม่ยึดมั่น”[...]
- ปฏิบัติภาวนาด้วยการเจริญอานาปานสติ เริ่มจากการตั้งสติ เพื่อให้เราฝึกทักษะการสังเกตอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ลมหายใจ สังเกตุทั้งกายและจิต เพื่อการแยกแยะ มีสติแล้วสมาธิก็ตั้งมั่น จนเกิดปัญญาวุธ คือ ปัญญาที่เห็นทุกสิ่งในโลกนั้น เป็นสมมติ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา พิจารณาซ้ำๆ ลงไปก็จะเห็นตามความเป็นจริง เมื่อเกิดปัญญาวุธ เราจึงเห็นทุกสิ่งๆ มีแค่ “ธาตุ” เป็นองค์ประกอบ หาใช่ตัวเราไม่ หากแต่เรามีอุปาทานไปยึด ไปเกาะ ที่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราจะกำจัดอุปาทานได้ เราต้องพิจารณาขันธ์ทั้งห้า ว่าไม่เที่ยง เป็นอนัตตา พิจารณาย้ำ ซ้ำลงไปอีก จนจิตคลายกำหนัด คลายความยึดถือ อุปาทานก็จะลอกออกๆ กิเลสจะลดลงๆ แต่เรายังไม่สามารถถอนราก เหง้าของกิเลส นั่นคือ “ตัณหา และ อวิชชา” ซึ่งอยู่ใน “จิต” ของเราได้ จนกว่าเราจะพิจารณาเห็น “ความไม่เที่ยงของจิต” บางทีก็เป็นประภัสสร บางทีก็เศร้าหมอง เมื่อไม่เที่ยง แม้แต่จิตเราก็ไม่เอา[...]
- 2 จิตตวิเวกปฏิบัติภาวนาด้วยการเจริญอุปสมานุสติ คือ การพิจารณาระลึกถึงคุณพระนิพพาน คือ นึกถึงความระงับ สงบ เห็นความดับของสิ่งต่างๆ พิจารณาว่า ทุกๆ สิ่งล้วนแต่มี “ความเกิด ความดับ” เป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น ความคิด ลมหายใจ มรรค สมาธิ ปัญญา ศีล ขันธ์ทั้งห้า และอื่นๆ เราจะสังเกตุความดับได้ เราต้องมี “สติ” เมื่อมีสติ “เห็นเกิด เห็นดับ” เราก็จะเกิด “ปัญญา” เข้าใจสิ่งต่างๆ ว่า ทุกสิ่งมีทุกขลักษณะ คือ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สี่งนั้นล้วนแต่มีความดับไปเป็นธรรมดา” “ทุกข์เท่านั้นแหละ มันเกิด ทุกข์เท่านั้นแหละ มันดับ” พิจารณาจนเกิดปัญญาหรือญาณในจิตใจ เราจะอยู่ในทางสายกลาง มีสัมมาทิฐิ คือ กิเลส ตัณหาลดลง เมื่อเรามีสติ ปัญญา รู้เห็นตามความเป็นจริง เราจะ “วาง” สิ่งเกิด-ดับ “วาง”[...]
- 2 จิตตวิเวกตั้งจิตพิจารณา “สิ่งที่ควรพิจารณาอยู่เนืองๆ” เพื่อว่าจะได้ไม่มัวเมา ไม่ประมาท ไม่เกิดความกังวลใจ ไม่เกิดอกุศล ป้องกันระมัดระวังไม่ให้เกิดมิจฉาวาจา มิจฉาอาชีวะ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาทิฐิ หยุดอกุศลธรรมทางกาย วาจา ใจ ได้ สิ่งที่ควรพิจารณาอยู่เนืองๆ ห้าอย่างนั้น คือ 1. เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ 2. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ 3. เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ 4. เราจักพลัดพรากจากของที่รัก ของชอบใจทั้งหลาย 5. เรามีกรรมเป็นของๆ ตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น บางทีความมัวเมาเกิดจากการที่เรายินดีในความเป็นหนุ่ม-สาว ความไม่มีโรค ความมีชีวิตดี เพลิดเพลินกับของที่รัก แล้วพอเกิดเรื่องไม่ดี เราก็กังวลใจ เกิดอกุศลจิตเช่นความไม่สบายใจ แต่พอเราพิจารณาห้าอย่างนี้ ความมัวเมาในหนุ่ม-สาว ความไม่มีโรค ความมีชีวิตดี เพลินของรักชอบ ก็ลดลง ไม่กังวลใจ เบาใจด้วยการเห็นตามความเป็นจริง เราจะรักษาจิตที่เป็นกุศลธรรมได้ เมื่อเราพิจารณาห้าอย่างนี้อยู่เนืองๆ จนชำนาญ เราจะทำจิตให้อยู่เหนือจากความเป็นหนุ่ม-สาว ความแก่-ความเฒ่า ความเจ็บป่วย ความสบาย[...]
- 2 จิตตวิเวก“เวทนาใดๆ ก็ตาม เวทนานั้นๆ ประมวลลงในความทุกข์” ข้อนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสหมายถึง ความไม่เที่ยง ความเป็นของสิ้นไป ความเป็นของเสื่อมไป แปรปรวนไปเป็นธรรมดา แห่งสังขารทั้งหลายนั่นเอง เราปฏิบัติภาวนาเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ เพื่อให้เกิด “ปัญญา” เพื่อเอากุศล ไม่เอาอกุศล นั่งสมาธิไม่ได้เอา “สุขเวทนา” ปุถุชนทั่วไป เทวดา สัตว์นรกต่างก็ “รักสุข เกลียดทุกข์” จิตเราจะ “เสวยเวทนา” ทั้งสุข ทุกข์อยู่ร่ำไปจากการ “คิดชั้นเดียว ไม่มีตา” การยึดเอาสุขเวทนาเป็นที่พึ่ง ยิ่งทำให้เราถูกพัดพาไปในกระแสแห่งตัณหา เราจะยิ่งเจอทุกข์มากขึ้น แต่หากเราเริ่มจากศีลห้า เราจะคิดขึ้นไปอีกชั้น เลือกแต่กุศล นั่นคือ เรามีดวงตา มีปัญญาเพิ่มขึ้น แต่เราก็ยัง “ติดในสุข ทุกข์” มันก็ยังพ้นจากสุข ทุกข์ไม่ได้ เราต้องมีดวงตาที่สอง คือ มี “ปัญญา” เพื่อมองให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกขลักษณะมีในทั้งสุขและทุกข์ คือ ไม่เที่ยง ดังนั้น “เราไม่เอาเวทนาทั้งสุขและทุกข์” แต่เราจะ “เอากุศล[...]
- 2 จิตตวิเวกปฏิบัติภาวนาด้วยการเจริญธัมมานุสปัสสนาสติปัฏฐาน โดยใช้เครื่องบรรณาการ, เครื่องบรรณาการหมายถึง การให้...เพื่อให้จิตเกิด “พัฒนาการ” เริ่มจากการปลูก การสร้าง “ศรัทธา” ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเช่น พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หรือ บุคคลที่ปฏิบัติดี เป็นเครื่องบรรณาการให้จิตมีการพัฒนาในการเข้าไปหาสิ่งนั้น ๆ, เมื่อเข้าไปหาสิ่งนั้น ๆ จิตเราจะพัฒนาให้เข้าไปนั่งใกล้, เมื่อเข้าไปนั่งใกล้เป็นเครื่องบรรณาการ จิตจะเงี่ยโสตลงหรือตั้งใจฟังซึ่งธรรมะมากขึ้น ๆ, เมื่อเงี่ยโสตฟังธรรมมากขึ้น จิตเราย่อมทรงไว้ซึ่งธรรมะนั้น ๆ ได้, เมื่อจิตทรงไว้ซึ่งธรรมะนั้นได้ จิตเราจะพัฒนาใคร่ครวญเนื้อความธรรมะนั้น ๆ, เมื่อพิจารณาธรรมะนั้น ๆ จิตจะพัฒนางอกเงยให้ธรรมะนั้น ทนต่อการเพ่งพิสูจน์ได้, เมื่อธรรมะนั้น ๆ ทนต่อการเพ่งพิสูจน์ได้ จิตเราจะเกิดความพอใจ หรือ ฉันทะ, ก่อให้เกิดความอุตสาหะ, ความอุตสาหะ จะทำให้มีการพิจารณาหาสมดุลแห่งธรรมนั้น, เมื่อมีความสมดุลในธรรม จิตจะพัฒนาในการตั้งมั่นในธรรม เพื่อความต่อเนี่องอย่างเป็นระบบ.. เมื่อจิตเราตั้งมั่นในธรรม แลัวมีพัฒนาการอยู่เรื่อย ๆ เราจะสามารถตามรู้ซึ่งความจริงได้ เราจะสามารถบรรลุซึ่งอริยสัจ เข้าถึงธรรม นำธรรมะเข้าสู่ใจได้ “ทำให้มาก เจริญให้มาก” ว่าด้วยพระสูตรจังกีสูตร
- 2 จิตตวิเวกปฏิบัติภาวนาด้วยการเจริญจิตตานุสปัสสนาสติปัฏฐาน เพื่อให้เห็นจิตในจิต เริ่มจากตั้งศรัทธาไว้ใน “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” จิตจะน้อมไปในเจตนาดี มีศรัทธานั่นคือเรามีสัมมาทิฐิ, สัมมาวายามะ แล้วเราก้าวสู่ความปกติคือมี “ศีล” ทันที คือเป็นสัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาวาจา “ศีล” เป็นเครื่องมือแรกที่เราจะเข้าไปหา “จิต” เพื่อทำให้ กาย,วาจา สงบ ระงับ ส่วนทางใจต้องไม่ประมาทโดยการ “มีสติ” เพื่อให้สติอยู่กับจิตตลอดเวลา สติคือการแยกแยะ แจกแจง ในผัสสะ, ธรรมารมณ์ต่างๆที่เขามากระทบจิตที่ผ่านทางอายตนะทั้งหก หากเรามีสติเรื่อยๆ สติจะมีกำลัง ขณะนั้นใจมีความสงบระงับ เป็นประภัสสร เป็นสมาธิ เราก็จะเห็นจิตของเรา และพบว่า จิตเรามี “อวิชชา” ทำให้มีการปรุงแต่ง(สังขาร)ของจิตตลอดเวลา เกิด “ภพ สภาวะ”เพราะความยึดมั่น จิตก็จะก้าวลงในสิ่งนั้น เกิดทุกข์ จาก “อวิชชาที่หลอกจิตให้ปรุงแต่งอยู่ร่ำไป” นี่คือ “จิตหลอกชั้นที่หนึ่ง” หากเรามีสติตั้งมั่น สัมมาสติ สัมมาสมาธิเกิด, “วิชชา” ความรู้ก็เกิดขึ้นว่า “จิต..ไม่ต้องไปปรุงแต่งสิ่งต่างๆก็ได้” เมื่อไม่ปรุงแต่ง[...]
- 2 จิตตวิเวกปฏิบัติภาวนาด้วยการเจริญธัมมานุสติ ธรรมชาติของจิตไปได้ไกล เร็ว เหมือนลิงจับกิ่งไม้โหนตัวไปมา หากจับกิ่งไม้ไม่ดี ก็ร่วงหล่นได้รับอันตราย ดังนั้น ที่ดำเนินไปของจิตจึงมีความสำคัญ หากจิตที่ไม่ได้รับการรักษา เวลามีสิ่งมากระทบจิตก็จะวุ่นวายขึ้น-ลง หวั่นไหวไปตามเรื่องนั้นๆ ท่านเปรียบจิตของเรา หากออกนอกที่ที่มันควรจะอยู่ ไปในที่ที่ไม่ควรไป จิตของเรามีปัญหาแน่นอน ต้องระมัดระวัง ดังเช่น นกมูลไถ นกเหยี่ยว และลิงโง่ ที่เกิดอันตรายไปในที่ที่ไม่ใช่วิสัยของบิดาตน ที่ที่จิตไม่ควรเที่ยวไป คือ ความคิดทางกาม พยาบาท เบียดเบียน สิ่งที่ไม่ควรทำ นั่นคือการผิดศีล สิ่งที่ไม่ควรมี นั่นคือ เรื่องนิวรณ์ เรื่องอกุศลธรรมทั้งหลาย อย่าให้จิตของเราไปทางนั้น ควรมีสัมมาทิฐิ (แยกแยะดีชั่ว ถูกผิด) มีสัมมาสติ (ระลึกได้ว่าสิ่งใดดีชั่ว ไม่เพลิดเพลิน หลงมัวเมา) และมีสัมมาวายามะ (ความเพียร) รักษาจิต ตริตรึกน้อมไปทางกุศลยิ่งขึ้นๆ, สัมมาสังกัปปะ (ความคิด ดำริที่จะออกจากกาม ความคิดไม่พยาบาท ไม่ปองร้าย ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น) ก็เพิ่มขึ้นๆ มีเมตตาต่อกัน เพียรไปในทางกุศลทั้งกาย วาจา ใจ[...]
- 2 จิตตวิเวกปฏิบัติภาวนาด้วยการเจริญธัมมานุสติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสัมผัสทั้งหมด ทั้งรูป-นาม ล้วนแต่มีเหตุ มีปัจจัย มีเงื่อนไข ต้องอาศัยสิ่งนี้ ต้องอาศัยสิ่งนั้นเกิด เป็นกฎธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว จึงมีความเป็น “อนัตตา” ไม่มีตัวตน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ คือ ความทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก เกิดทุกข์ที่ทนได้ยาก คือ ความทุกข์ และทุกข์ที่ทนได้ง่าย คือ ความสุข เหตุของทุกข์ คือ ตัณหา ความทะยานอยาก เมื่อเกิดผัสสะ ก็เกิดเวทนาความรู้สึก ยินดี ยินร้าย และเกิดตัณหา จิตเกิดความอยากมี ความอยากไม่มี จิตจึงเข้าไปยึดถือ คือ อุปาทานในสิ่งนั้น เกิดทุกข์ลงที่ “ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ” ไม่ได้เกิดที่ไหน จนเราคิดว่าเป็นตัวเรารู้สึกทันที เกิดเป็นภพ เป็นสภาวะ ผัสสะเกิดที่ไหน จิตอยู่ที่นั่น จิตอยู่ที่ไหน ความทุกข์เกิดที่นั่น ความทุกข์เกิด เพราะมีความทะยานอยาก ตัณหา[...]
- 2 จิตตวิเวกปฏิบัติภาวนา ด้วยการเจริญอานาปานสติ มีสติอยู่กับลมหายใจ จนจิตสงบระงับเพื่อสังเกตเห็นผัสสะที่เข้ามา เห็นการเปลี่ยนแปลงของจิตที่มีเวทนาสุข ทุกข์ ไม่สุข-ไม่ทุกข์ เพื่อให้เข้าถึงปัญญาว่า ผัสสะที่เข้ามากระทบนั้นไม่เที่ยง ผ่านทางกายที่ไม่เที่ยง เวทนาที่เกิดขึ้นในจิตนั้นจึงไม่เที่ยง เกิดวิชชาขึ้นทันที เห็นความดับไปของอวิชชา ลดการสั่งสมของอวิชชาอาสวะออกจากจิตเรา พอสั่งสมไม่ได้ อวิชชาอาสวะก็ค่อยๆ หลุดออกไป ดังนั้นหากเราเข้าใจถูก มันจะไม่เกิดสภาวะแห่งการสั่งสมของอวิชชา มันก็ดับลงไปได้เองนั่นแล แต่หากผัสสะที่เข้ามากระทบเป็นเหตุเป็นปัจจัยเกิดเวทนาที่ช่องทางใจ มันก็จะสั่งสมเป็นอาสวะอยู่ที่จิต เกิดเป็นความพอใจ เกิดตัณหา เกิดกามสวะ เกิดความไม่อยากได้ ก็เกิดการสะสมภพ เกิดภวาสวะ เกิดความไม่รู้ ไม่เข้าใจในผัสสะเวทนานั้น มันก็จะเข้าไปสะสมในจิตเกิดอวิชชาสวะ สภาวะแห่งการสะสมก็คือ จิตมีความไม่รู้ไม่เข้าใจ สั่งสมสิ่งที่เป็นกาม ภพ อวิชชา ต่อไปๆ พระพุทธเจ้าทรงเทศนาเรื่องเวทนา ทรงโปรดปริพาชกชื่ออัคคิเวสสนะ พระสารีบุตรนั่งถวายงานพัดอยู่ ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ของพระพุทธองค์ ได้ฟังเทศนานั้น ท่านฟังด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ด้วยปัญญาที่มีมากของพระสารีบุตร ท่านฟังนัยยะที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาเรื่องเวทนา ท่านสามารถแยกแยะ แตกฉาน ท่านเห็นในสมาธิกว้างขวางออกไปได้ถึง 16 อย่าง และลึกลงไปในรายละเอียดได้ถึง 7 อย่าง ในแต่ละชั้นฌานสมาธิ[...]
- 2 จิตตวิเวก“กามสุขัลลิกานุโยค” การหาความสุขจากกาม เป็นความสุขน้อย ทุกข์มาก เป็นความสุขที่เป็นมิจฉาทำให้กิเลสพอกพูน เป็นการกระทำที่ยังต่ำ เป็นของชาวบ้าน ปุถุชน ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน จึงเป็นสิ่งที่ควรละเสีย เราจึงควรมาหาความสุขในทางที่หลีกออกจากกาม โดยการมีศีลให้ครบบริบูรณ์ โดยเริ่มจากศีลห้า คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดปด เพ้อเจ้อ คำหยาบ ส่อเสียด ไม่เสพสุรายาเสพติด เมื่อเรารักษาศีลได้ กามจะไม่มาบีบคั้นเราได้ เราจึงมีจิตใจผาสุก ไม่ร้อนใจ การที่จะรักษาศีลอย่างสม่ำเสมอ ไม่ขาด ไม่ด่างพร้อย เราต้องระลึกถึงศีลอยู่ตลอด เรียกว่า “สีลานุสติ” ควบคุมจิตใจตนเองให้อยู่ในกรอบของศีล บาปอกุศลจะค่อยๆ ถูกปลดออกจากใจ เราจะสบายใจ ไม่ร้อนใจ เกิดปิติ พอมีสติที่เกิดจากการระลึกถึงศีลของตนเป็นประจำ จิตก็จะระงับลงๆ จนจิตเข้าเป็นอารมณ์อันเดียวได้ คือ สมาธิ เป็นจิตที่สงัดจากกาม พยาบาท เบียดเบียน จิตก็จะเป็นปีติ สุข เป็นความสุขที่เหนือกว่ากาม เกิดสัมมาทิฏฐิแต่มันก็ยังเกี่ยวข้องกับสุข-ทุกข์ จุดประสงค์ คือ[...]
- 2 จิตตวิเวกปฏิบัติภาวนา ด้วยการเจริญอานาปานสติ สติระลึกอยู่ที่ลมหายใจ เพื่อให้จิตสงบระงับ ปฏิบัติตามสติปัฏฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อให้เกิดความพ้น พระพุทธเจ้าทรงสอนวิธีที่จะพ้นจากความวุ่นวาย ความขัดข้องใจแก่ ยสกุลบุตร ซึ่งแม้ยสกุลบุตรได้รับการปรนเปรอด้วยกาม ความกำหนัด ความพอใจอย่างมากมายก็ยังมีความวุ่นวาย ความขัดข้อง ความไม่สงบอยู่ในใจ หนทางที่จะไปถึงความไม่วุ่นวาย ความไม่ขัดข้อง ความสงบ คือ มรรคมีองค์แปด นับตั้งแต่ การตั้งสติมั่นเป็นสัมมาสติ เกิดศีล สมาธิ ปัญญา มีความเพียร ความระลึกชอบ ต้องเห็นโทษของนาม-รูป ขันธ์ทั้งห้า เห็นโทษในกาม เห็นโทษในสิ่งต่างๆ พิจารณาไตร่ตรองให้เกิดปัญญา เห็นโทษของความไม่เที่ยง ทำวิชชา คือ ความรู้ให้เกิดขึ้นเพื่อที่จะวาง ละความยึดถือยึดมั่น ก็จะอยู่เหนือความวุ่นวาย ความขัดข้อง ความไม่สงบนั้นได้
- 2 จิตตวิเวกปฏิบัติภาวนา ด้วยการเจริญเทวตานุสสติ ระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของเทวดาและของตนเอง เพื่อให้มีความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม จิตเป็นสมาธิ ตั้งมั่นมีความสุขอยู่ภายใน เจริญกุศลจิต เห็นสัมมาทิฐิได้ เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆ จิตสงบ ระงับจากตัณหา ระงับจากความอยาก ความทุกข์ลดลง จิตใจแจ่มใสมากขึ้น ปัญญาเพิ่มขึ้น ศรัทธามากขึ้น ศีลดีขึ้น ฟังธรรมมากขึ้น บริจาค ละมากขึ้น กิเลสตัณหาก็ลดลง จิตดำเนินไปตามทางมรรคมีองค์แปด จิตตั้งตรง ดำรงอยู่ได้ มีความรู้ อรรถะธรรมะมากขึ้น ระลึก รู้สติในความดี และพัฒนาจิตให้บริสุทธิ์ขึ้นได้ ด้วยการเจริญเทวตานุสสติ ระลึกถึงความดีของเทวดา
- 2 จิตตวิเวกปฏิบัติภาวนาด้วยการเจริญธัมมานุปัสสนาสติ โดยการระลึกถึงคุณพระธรรมของพระพุทธเจ้า พิจารณา ”อาทีนวะ” คือ พิจารณาความเป็นโทษ · โทษของกาม 10 ประการ คือ พระพุทธเจ้าทรงตรัสอุปมาโทษของกามไว้เพื่อให้ละความกำหนัด ยินดีในกาม และเห็นโทษของกามว่า 1. เหมือนสุนัขหิวแทะท่อนกระดูก คือ ยิ่งแทะ ยิ่งเหนื่อย อร่อยแต่ไม่เต็มอิ่ม มีความสุขเพียงชั่วครู่หากแต่ไม่อิ่มไม่พอ 2. เหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งหรือเหยี่ยวคาบบินมา คือ ต้องถูกแย่งชิงโดยนกกาตัวอื่น ต้องต่อสู้ปกป้องตลอดเวลา เกิดความเบียดเบียนเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา ต้องคอยระวังหวงกั้นไม่ให้สิ่งนั้นหายไป 3. เหมือนคบเพลิงหญ้า ถือได้ไม่นานก็ต้องทิ้งไป มิฉะนั้นจะไหม้มือ แถมถูกควันไฟรมเอาตลอดเวลาที่ถือ 4. เหมือนหลุมถ่านเพลิง อันร้อนระอุ ไฟสุมอยู่ภายใน 5. เหมือนฝันดี ตื่นมาแล้วหาย 6. เหมือนของที่ยืมเขามาแล้วต้องคืน 7. เหมือนผลไม้บนต้นไม้ ใครจะมาเอาไปก็ได้ และยังต้องคอยดูแลให้ดี 8. เหมือนเขียงสับเนื้อ ยอมโดนโขกสับเพื่อแลกเศษเนื้อติดเขียง 9. เหมือนหอก และหลาวที่กลับมาทิ่มแทงเราได้ 10. เหมือนหัวงูพิษที่โกรธเมื่อไรก็จะฉกเรากลับทันที ·[...]
- 2 จิตตวิเวกปฏิบัติภาวนาด้วยการเจริญพุทธานุสสติ โดยการระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า เพื่อพิจารณา ทบทวนหาช่องทางการดำเนินชีวิต โดยศึกษาการใช้ปัญญาเพื่อหาหนทางการดับทุกข์ของพระพุทธเจ้า เรากำหนดจิตไว้กับ “พุทโธ พุทโธ” จนจิตรวมเป็นสมาธิ เรียกว่า “สัมมาสมาธิ” เราจะเห็น “ธรรมะ” ของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่เข้ากันได้หมด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีอะไรที่จะไม่เข้ากันเลย สิ่งที่เข้ากันไม่ได้นั้น เรียกว่า “นิวรณ์” คือ เครื่องกางกั้น ที่กั้นให้เราไม่เห็นทาง และเป็นสิ่งที่เราต้องกำจัดออก พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ได้มีเทวทูต นำทางให้ออกบรรพชา ท่านได้ฝึกความเพียรตามสองดาบส แต่ก็ยังมีเวทนา ท่านบำเพ็ญทุกรกิริยา บีบกาย บีบใจอย่างหนักก็ยังไม่พ้นทุกข์ จนใช้ทางสายกลาง มรรคมีองค์แปด และใช้ปัญญาพิจารณาจนเห็นว่า ขันธ์ทั้งห้าเป็นทุกข์ ยังคงเกิดภพ เพราะมีตัณหาเป็นตัวยึด มีอวิชชาเป็นตัวชักนำ ต้องพิจารณาดับกิเลส อาสวะ นั่นคือ นิโรธ จนพบทางออกที่ไม่มีทางตัน และไม่ย้อนกลับ คือ พระนิพพาน ชีวิตของเรามีทางออกเสมอ มาตามทางมรรคแปด พร้อมด้วยศรัทธา ความเพียร สติ สมาธิ ปัญญา ก็จะพบทางออก ตาม “สัมมา[...]
- ปฏิบัติภาวนาด้วยการเจริญพุทธานุสติ ตั้งพุทโธไว้ในใจ จิตรวมสงบระงับลงจนเป็นสมาธิ พระพุทธเจ้าทรงตรัสอธิบายการกำจัดอุปกิเลสหรือกำจัดเครื่องเศร้าหมองของใจไว้ในสังฆสูตร ว่าเปรียบเสมือน คนล้างทองที่ต้องใช้เครื่องมือที่ถูกต้องมาล้างทอง เพื่อทำให้เป็นทองบริสุทธิ์ ดังนี้ 1. อุปกิเลสอย่างหยาบ คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต สามารถทำให้หมดไปได้ด้วย “ศีล” คือ “ละบาปทั้งปวง” 2. อุปกิเลสอย่างกลาง คือ ความตริตรึกไปในทางกาม พยาบาท เบียดเบียน สามารถทำให้หมดไปได้ด้วย “สติ” เมื่อมีสติก็สามารถ ละกาม พยาบาท เบียดเบียนและถึงซึ่งสมาธิได้ หรือ “สัมมาสังกัปปะ” และ”สัมมาสมาธิ” คือ “ทำกุศลให้ถึงพร้อม” 3. อุปกิเลสอย่างละเอียด คือ ความคิดนึกถึงชาติ ชนบท ความคิดนึกที่ประกอบด้วยความไม่ดูหมิ่น หรือความคิดนึกถึงบุญ บาป ที่อยู่ที่จิต สามารถทำให้หมดไปได้ด้วย “ปัญญา วิปัสสนา” คือ เห็นตามความเป็นจริงว่า จิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์จึงเกิดความหน่าย “ละ วาง ความยึดถือจิต” และ[...]
- 2 จิตตวิเวกการดูจิตให้เห็นจิตด้วย “จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน” โดยเริ่มจากตั้งสติแล้วจิตจดจ่อจนจิตตั้งมั่น เราจะเห็นจิตที่ถูกหลอก และการดับทุกข์ คือ การวาง จิตหลอกที่ 1 : เรามักจะเข้าใจว่าผู้ที่เข้าไปรับรู้สิ่งต่าง ๆ นั้นคือ จิตเรา หรือ “ความรับรู้” กับ “จิต” เป็นสิ่งเดียวกัน จริง ๆ แล้วเราเข้าใจผิดว่า ความรู้สึกต่าง ๆ คือ จิต จริง ๆ แล้วไม่ใช่ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง การรับรู้ของจิต (จิตวิญญาณ) เป็นการปรุงแต่งของจิต (จิตสังขาร) เวทนา สัญญา ของจิต ซึ่งเป็นคนละสิ่งกับจิต “ไม่ใช่จิต” สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ โดยมีผัสสะมากระทบกับอายตนะทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดเป็นวิญญาณ คือ การรับรู้ ซึ่งเปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ยังไม่ตาย ที่ยังมีเชื้อจากกิเลส อาสวะ อวิชชายังสามารถงอกได้[...]
- 2 จิตตวิเวกความตายมีซ่อนอยู่ในทุก ๆ สิ่งที่ไม่เที่ยง การเปลี่ยนแปลงสภาวะ มีความเกิดความตายได้ทุก ๆ เวลา ให้ใคร่ครวญความตายให้ถูกต้อง ให้เป็นสัมมาทิฐิ คือ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นมีความตายแฝงอยู่ มีเกิดก็มีดับ มีดับก็มีเกิดเป็นของคู่กัน ประสานกันด้วยความไม่เที่ยง เหตุปัจจัยของความตาย คือ “ความเกิด” เหตุปัจจัยของความเกิด คือ ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา จุดจบของความตาย คือ ความไม่เกิด เห็นความตายว่ามีอยู่ในทุก ๆ สิ่งที่ไม่เที่ยง เข้าใจความตายให้ถูกต้อง แล้วเดินตามทางมรรคมีองค์แปด โดยเริ่มจากสัมมาทิฐิ คือ ความเห็นที่ถูกต้อง สัมมาสังกัปปะ คือ ไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่ทำร้ายต้วเองและผู้อื่น ปฏิบัติกาย วาจาให้ถูกต้องด้วยสัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา เจริญมรณานุสติ คือ เอาความตายตั้งเอาไว้ ว่าไม่เที่ยงทุกสภาวะ เห็นด้วยปัญญาตามความเป็นจริง มีความเพียรเพ่งเอาไว้ จิตที่เป็นสมาธิจดจ่อเอาไว้ เห็นความไม่เที่ยง จนเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เกิดนิพพิทา คือ ความเบื่อหน่ายในกองทุกข์ วางความยึดถือยึดมั่น[...]
- 2 จิตตวิเวกสติเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการฝึกสมาธิ สติ คือ การระลึกได้ การได้มาของการระลึกได้ ต้องรู้จักการสังเกต หรือการกำหนดนิมิต ฝึกสังเกตผัสสะ สิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบกับทวารทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รับรู้สภาวะต่าง ๆ โดยรวม ๆ พระพุทธเจ้าอุปมาไว้ในสูทสูตร เปรียบเหมือนพ่อครัวที่ฉลาดรู้จักสังเกตเครื่องหมายว่า อาหารรสชาติแบบใด ชนิดใดที่พระราชาชอบ เขาก็จะได้รับรางวัลจากพระราชา การฝึกสมาธิก็เช่นกัน เริ่มจากฝึกสังเกตเครื่องหมาย โดยกำหนดจิตอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก ไว้ที่ปลายจมูก ประกอบความเพียรจนจิตตั้งมั่น สงบ ระงับ และสังเกตเครื่องหมายหรือนิมิตต่อไปอีก จนเห็นเครื่องหมายของความไม่เที่ยงของลมหายใจเข้า-ออก ทำบ่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ จนเห็นความไม่มีตัวตน อนัตตา สิ่งต่าง ๆ ต้องอาศัยเหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ ต้องหมั่นเพียรสังเกตดูนิมิตหรือเครื่องหมายของความไม่เที่ยง และเหตุปัจจัยให้ดี ความได้เห็นนิมิตหรือเครื่องหมายของความไม่เที่ยง และไม่มีตัวตนนี้ คือ เห็นได้ด้วย “ปัญญา” ปัญญาเปรียบเหมือน[...]
- 2 จิตตวิเวกบุคคลที่ทำให้เราตั้งอยู่ในความดีของศีล สมาธิ ปัญญา มีจิตตั้งมั่น มีความเกิดขึ้นมาในความเป็นคนดี คือทำให้เราเกิดใหม่ในอริยชาติ เป็นคนประเสริฐ เป็นคนดี เป็นอริยบุคคล เข้าสู่กระแสโสดาบันขั้นมรรค ขั้นผล เดินตามทางมรรคมีองค์แปด จนถึงพระนิพพาน บุคคลผู้นั้น เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อเรามากอย่างหาประมาณมิได้ ท่านให้ความเกิดใน “อริยชาติ” แก่เรา ทำให้เราหลุดพ้นจากกองทุกข์ในวัฏสงสาร ซึ่งเป็นสิ่งประเมินค่ามิได้ เราควรตอบแทนท่านด้วย “การทำความดีเพื่อความดี” ตามหลักอริยสัจสี่ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ รักษาความดีในจิตให้ดี เพื่อเป็นการปฏิบัติบูชาตอบแทนคุณท่าน และส่งต่อความดีต่อ ๆ ไปอย่างตั้งมั่นตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาจรเข้ามา
- 2 จิตตวิเวกความคุ้นชินความเคยชินที่อยู่ในจิตใจ คือ ‘อนุสัย’ ที่ไม่ว่าจะมาจากความความพอใจ ความขัดเคือง ความคิด ความเคลือบแคลงไม่ลงใจ มานะของตน ความไม่รู้นั้น ทำให้มี “ถูก-ผิด” เราจึงไปเนิ่นช้าอยู่ตรงนั้น เพราะตริตรึกคิดถึงสัญญานั้นอยู่เรื่อย ๆ จำในเวทนานั้น “สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง” เราจะดับปปัญจสัญญานี้ได้ คือ ดับตามเหตุของมันนั่นเอง “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดแต่เหตุ ถ้ามันเกิดขึ้นได้ สิ่งไหนที่เกิดขึ้นได้ แล้วไม่ดับ มันไม่มี” เห็นตามความเป็นจริงในผัสสะทั้งหลายที่มากระทบ โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ดับไปแล้วความเคยชิน เราก็อยู่เหนือจากความทุกข์นั้น ความสุขนั้น ผัสสะนั้นได้
- 2 จิตตวิเวกสติที่เกิดจากการกำหนดดูลมหายใจ เป็นสิ่งที่ต้องระลึกรู้อย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนผูกจิตไว้ที่เสา เพื่อให้ทันต่อผัสสะที่เข้ามากระทบ ตามช่องทางทั้ง 6 เมื่อมีสติเกิดขึ้น ก็จะเกิดความสงบ ระงับ ทางกาย เวทนา จิต และธรรมที่ เห็นโลกตามความเป็นจริง ว่าทุกสิ่งเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่าเราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นำไปสู่การปล่อยวาง คลายความยินดี ยินร้าย ไม่ยึดมั่นถือมั่น และหลุดพ้น ในที่สุด
- 2 จิตตวิเวก“สติ” ที่มีลักษณะ 5 อย่าง คือ ไล่มาตั้งแต่แค่สังเกตจนไปถึงการรู้จักจำแนกแจกแจง ไปจนถึงการรู้จักแยกตัว ไปจนถึงการที่สามารถมีทางเลือกว่าเอาอันนี้ไม่เอาอันนั้น แล้วเลือกให้ถูก เราก็พ้นจากสิ่งที่เราไม่เลือกมาตั้งอยู่ในสิ่งที่เราเลือก คือ ไปตามทางที่มีองค์ประกอบอันประเสริฐแปดอย่างด้วยสติที่เราตั้งไว้ ความพ้นนั้นคือวิมุตติ เลือกมาตามทาง คือ ระลึกได้ สติ ปัญญา จะเกิดขึ้น ณ ที่ตรงนั้น มาตามทาง “เพื่อก้าวล่วงเสียซึ่งความโศกความร่ำไรรำพัน เพื่อความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำนิพพานให้แจ้ง” เป็นที่ที่ความทุกข์จะหยั่งลงไม่ได้ เป็นที่ที่ตัณหาอวิชชาจะคืบคลานเข้าไปไม่ได้ เพราะว่าจิตใจของเรามันพ้นแล้ว ไม่มีกิเลสที่จะมาเป็นเครื่องรึงรัด นั่นคือความดับเย็น คือ นิพพาน
- 2 จิตตวิเวกถ้าอยากได้ความสุขที่แน่นอน เราต้องปฏิบัติธรรม ทำจิตให้สงบ มีอารมณ์อันเดียว แล้วพิจารณาตัวตนของเรานี้ ประกอบด้วยอาการสามสิบสอง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กระดูก เยื่อในกระดูก... เหล่านี้เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา “ไม่ให้แก่มันก็แก่ ไม่ให้เจ็บมันก็เจ็บ ไม่ให้ตายมันก็ตาย พูดง่าย ๆ เกิดมาแล้วต้องตายทุกคน ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง” นี่แหละความไม่เที่ยง ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วแตกสลายไป’ ฉะนั้นต้องรีบสร้างสมคุณงามความดี ให้ทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา พิจารณาเรื่อย ๆ อยู่บ่อย ๆ พิจารณาเป็นประจำ จนจิตของเราปล่อยวางได้หมด เราจะภาวนาให้ถึงที่สุดได้ เราจึงจะพ้นจากทุกข์ได้
- การเจริญพรหมวิหาร 4 เริ่มด้วยการระลึกถึงบุญกุศลที่ได้ทำมา เพื่อให้จิตมีกำลังเปรียบเหมือนเสาอากาศหรือคนเป่าสังข์ที่มีกำลังแข็งแรงสามารถส่งเสียงไปได้ไกล แล้วแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ผ่านร่างกายของเรา ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายในทุกทิศทาง..เป็นผู้มีจิตเอ็นดูเกื้อกูล มีจิตประกอบไปด้วยเมตตา..อันไม่มีโทสะในภายใน อันเป็นจิตไพบูลย์ใหญ่หลวง ไม่มีเวร ไม่มีประมาณ ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกถึงที่สุดทุกทิศทาง “รักษาจิตที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ทรงอยู่ให้ได้ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถใด ๆ เราจะสามารถมีเมตตาได้กับทุกคน”
- 2 จิตตวิเวกต้องรู้จักแยกแยะ นั่นคือ สติ ต้องรู้จักทำจริงแน่วแน่จริง นั่นคือ ความเพียร กระบวนการแยกแยะ ที่เมื่อมีอะไรมากระตุ้นที่จิตใจของเรา สังเกตให้ดีความคิดนึกที่ออกมาในช่องทางใจ มันเจือด้วยราคะ โทสะ โมหะหรือไม่ เพราะถ้าเราแยกแยะไม่ได้ว่า ความคิดนั้นมีกิเลสปนหรือไม่ มันจะออกมา เพื่อทำลายจิตใจของเรา จิตใจของเราถ้ากำจัดเจ้าราคะ โทสะ โมหะออกไปแล้ว มันจะสงบระงับ เหลือจิตล้วน ๆ ที่เป็นสมาธิ เอาตรงนี้ไปชำแรกกิเลสที่จิตด้านหนึ่งมันสว่างไสว อีกด้านหนึ่ง คือ ความเป็นตัวตน นั่นคือ อวิชชา เพ่งลงไป จดจ่อลงไป พิจารณาลงไป จิตนั้นไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา พิจารณาแล้ว เห็นตามความเป็นจริง วางความยึดถือในจิตนั้นเสีย ไม่ใช่ของเรา เป็นกระแสปรุงแต่งตามกันมาเฉย ๆ
- 2 จิตตวิเวกเปรียบบุคคลที่ตกน้ำ หรือบุคคลที่หลงป่าแล้ว พยายามหาทางออกกับบุคคลต่าง ๆ 7 จำพวก เปรียบวัฏสงสารเหมือนห้วงน้ำใหญ่ อาจจะจมบ้าง โผล่พ้นน้ำได้บ้าง ขึ้นกับความดีหรือความชั่วที่กระทำ หรือกุศลอกุศลกรรมที่ได้สร้างขึ้น ‘พระเสขะ’ คือ ผู้ที่ยังปฏิบัติ มีกำลังเพียงศรัทธา วิริยะ หิริ โอตตัปปะ ปัญญา แต่เมื่อระลึกได้ตั้งสติได้ด้วยธัมมานุสสติ และเป็นผู้ที่ยังลงสู่ระบบความเห็นที่ถูกต้อง คือ สัมมัตตนิยาม ยังลงสู่ภูมิของสัตบุรุษ คือ สัปปุริสภูมิ ที่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว เริ่มต้นทำความดีบ้าง แล้วด้วยการปฏิบัติตามมรรคแปดไปเรื่อย ๆ ด้วยความอดทน สติสมาธิเพิ่มขึ้น ศีลสมาธิปัญญา เพิ่มขึ้น ๆ ก็สามารถบรรลุมรรคผล ข้ามพ้นถึงฝั่งโน้นได้
- 2 จิตตวิเวกสิ่งที่ควรจะพิจารณาอยู่เป็นประจำ เพื่อให้จิตใจของเรามีความผาสุกอยู่ได้ ตั้งอยู่ในกุศลธรรมได้ คิดนึกเรื่องนี้ด้วยจิตที่มีความสงบ นั่นคือ การพิจารณาเนือง ๆ ที่ไม่ว่าจิตใจของเราที่ผ่านมา จะคิดเรื่องอะไรก็ตาม ดีบ้างชั่วบ้าง ที่มันเป็นแบบนั้น คือ ลักษณะของอาสวะ ลักษณะของกิเลสที่สะสม กิเลสได้อบรมจิตของเรามาเป็นแบบนี้ แก้ได้.. จากนี้ไป ให้รักษาจิตของเราด้วยสติ พิจารณา 5 อย่างนี้ ‘อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง’ ปรับมาในทางที่เป็นกุศล สร้างสรรค์จิตของเราให้มีปัญญา สามารถที่จะรักษาตน เพื่อที่จะให้พ้นจากภัยในวัฏฏะ และพ้นทุกข์จากสังสารวัฏ ประกอบตนให้ถึงนิพพานได้
- 2 จิตตวิเวก‘ปฏิปทา’ คือ ระบบแห่งการปฏิบัติอันประกอบด้วยกระบวนการ ขั้นตอน ทางดำเนิน ข้อปฏิบัติ และแนวทางปฏิบัติ สำหรับธรรมชาติของจิตที่แตกต่างกัน มุ่งเน้นไปที่ราคะโทสะโมหะในจิตที่กล้าหรือเบาบาง การปฏิบัติแบบทุกขาปฏิปทา คือ ต้องเห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นของปฏิกูล เห็นความเป็นของไม่น่ายินดี เห็นความเป็นของไม่เป็นสาระไม่เป็นแก่นสาร ตรงนี้คือความเห็น เป็นลักษณะที่เรากำหนดขึ้น ปรุงแต่งให้เป็นสัญญา ให้เห็นตามความเป็นจริง ส่วนการบรรลุธรรมได้เร็วหรือช้านั้น ขึ้นอยู่กับการมีอินทรีย์ห้า (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา) ที่อ่อนหรือแก่กล้า
- 2 จิตตวิเวก“วัยและชีวิตของคน เป็นของไม่แน่นอน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เมื่อเราจากไปแล้ว เราจะได้อะไรในโลกนี้ ถ้าไม่ทำความดี จะได้บุญได้กุศลอะไรไปในสัมปรายภพ เพราะฉะนั้น อย่าประมาทในการทำความดี” การทำจิตให้มีความสงบในที่นี้ เรียกว่า ‘จาคานุสสติ’ คือ การระลึกถึงทานที่เราได้ทำไว้ หรือทานที่เรากำลังจะทำ ซึ่งในกระบวนการนี้ ถ้า ‘ก่อนให้’ จิตใจของเราประกอบด้วยศรัทธา ‘ระหว่างให้’ จิตใจประกอบด้วยศรัทธา และ ‘หลังให้’ จิตใจก็ยังประกอบด้วยศรัทธา การระลึกถึงการให้นั้น ‘ก่อนให้’ ก็จะทำให้มีจิตน้อมไป ‘ระหว่างให้’ ก็จะทำให้มีจิตเลื่อมใส หลังจาก ‘ให้แล้ว’ ระลึกถึงก็จะทำให้มีความปลื้มใจ
- “บางคนนั่งเฉย ๆ ไม่ได้ไปหาใครพูดกับใคร แต่เบียดเบียนคนอื่นได้ เบียดเบียนตัวเองได้ ตรงความคิดไง ตัวไม่ขยับแต่จิตมันขยับ” หยุดจิตของเราให้ได้ อย่าให้จิตของเรา ตกเป็นทาสของผัสสะ เหมือนสัตว์ป่าที่พยศที่กักขฬะ แต่ให้ฝึกจิตให้มีความสงบให้เชื่อง สามารถใช้งานได้ควบคุมได้ ตั้งสติไว้ในที่นี้ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือ หยุดทุกอย่างแล้วพิจารณา จิตของเราสูงขึ้นจากกิเลสหรือไม่ หยุดความยึดถือ ความตระหนี่ เแล้วจิตเป็นมหัคคตะหรือไม่ หยุดแล้วย้อนดูด้วยปัญญา จิตเดี๋ยวผ่องใสก็ได้ เดี๋ยวเศร้าหมองก็ได้ ขึ้น ๆ ลง ๆ ตามการปรุงแต่งตามเหตุเงื่อนไขปัจจัย ก็นั่นแหละ มันไม่เที่ยง มันเป็นอนัตตา สิ่งใดที่มีโทษเราจะยึดถือมันเอาไว้หรือ
- 2 จิตตวิเวก“เกิดมาแล้ว ไม่ตาย ไม่มี เกิดมาแล้ว ต้องตายทุกคน” คำถาม คือ ในช่วงเวลาที่อยู่ คุณจะทำอะไร “สร้างกุศล ประพฤติธรรม บำเพ็ญบุญ เหล่านี้เป็นเครื่องมือที่จะให้เกิดบุญ” มีแค่บุญกับบาปที่มีการสะสมที่จะไปกับเราด้วย เมื่อเราทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้ สะสมความดีเป็นบุญเป็นบารมี สะสมความชั่วเป็นบาปเป็นอาสวะ สะสมไว้ที่จิตของเรา แต่ถ้าทำตามทางมรรคแปดไปเรื่อย ๆ มันจะไปที่ที่ไม่ต้องมีการเกิดอีกได้
- 2 จิตตวิเวกพิจารณาดูให้ดีว่า นี่เป็นตัวตนของเราจริงไหม บอกว่าอย่าแก่ มันเชื่อฟังเราไหม บอกว่าอย่าเจ็บอย่าป่วยอย่าตาย มันก็ไม่เชื่อฟังเรา ไม่อยู่ในอำนาจของเรา อยู่แต่กฎของความจริง คือ ความไม่เที่ยงในร่างกาย ในตัวตนของเรา มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มันเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พิจารณาความจริง ‘ความแก่ ความเจ็บ ความตาย’ ว่ามีอยู่ในตัวเรา น้อมเข้ามาว่า ตัวเราเองก็จะเป็นอย่างนั้น ให้เห็นความจริง ก่อนที่จะถึงเวลานั้น หรือให้เห็นความสกปรกปฏิกูลในตัวเรา ตายแล้ว 1 วัน 2 วัน 10 วัน 20 วัน มันเป็นอย่างไร สกปรกแค่ไหน “เราก็จะวางความยึดความถือได้ เราจะเห็นความจริงได้ชัดเจนว่า ตัวเรานี้ ไม่เที่ยงจริง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาจริง ๆ"
- 2 จิตตวิเวก“ตัวเราเป็นใคร” เกิดมาเป็นลูก โตขึ้นเป็นพี่ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลุงเป็นป้าเป็นตาเป็นยาย เปลี่ยนไป ๆ มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด โตขึ้นด้วยข้าวปลาอาหาร ประกอบด้วยธาตุ 4 ดินน้ำไฟลม รับรู้สิ่งต่าง ๆ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ปรุงแต่งด้วยกรรม ประกอบเป็นตัวเรา แต่เมื่อแยกแยะแล้ว “หาตัวตนไม่เจอ” ใคร่ครวญให้ดี “ตัวเรา” เป็นสิ่งที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น มีเหตุต้นผลปลาย เหตุต้นหายไป ผลปลายความเป็นตัวตนก็ไม่มีอยู่ ก็ต้องดับไป มีอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ตามเหตุปัจจัยนั้นตั้งอยู่ ไม่คงทนตลอดกาลช้านาน “มีความเป็นอนัตตา มีความไม่เที่ยง” สิ่งใดไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก สิ่งนั้นเป็น “ทุกข์” คือ สิ่งที่ทนอยู่ได้ยาก มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา “ควรแล้วหรือ ที่เราจะยึดถือเอาว่าสิ่งนี้เป็นตัวเราของเรา”
- 2 จิตตวิเวก“..ฐานะที่มีได้เป็นได้ นั่นคือ จิตของเราทุกคนสามารถหลุดพ้นได้ ด้วยการปฏิบัติด้วยการทำ.” เริ่มจากตั้งสติ ไม่เผลอเพลินไปตามสิ่งต่าง ๆ ที่รับรู้ ทั้งพอใจหรือไม่พอใจ ลึกลงไป ๆ ตามขั้นตอนของสมาธิ จนจิตเป็นอารมณ์อันเดียว ใคร่ครวญ “อยากตรงไหน ทุกข์อยู่ตรงนั้น” ย้อนลึกเข้ามา ๆ จากสิ่งภายนอกผ่านเข้ามา สู่กายผ่านเข้ามา สู่ข้อปฏิบัติที่เป็นกุศลธรรม คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ผ่านเข้ามาถึงจิตของเรา จิตที่เป็นประภัสสรนี่แหละ ที่เศร้าหมองก็ได้ ผ่องใสก็ได้ “ในทางธรรมะ สิ่งใดไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน” ถ้าไม่ใช่ตัวเราของเราแล้ว ตัวเราเป็นอะไรกันแน่
- 2 จิตตวิเวกให้เราใช้แสงสว่าง คือ ปัญญา ให้เราใช้มีดคม ๆ คือ ปัญญา ให้เราใช้กำลัง คือ สมาธิ เราเล็งให้ดี นั่นคือ สติ ทั้งหมดต้องอยู่บนพื้นฐานของศีล อยู่บนพื้นฐานของศรัทธา เรามีศรัทธา คือ ความมั่นใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรามีศีลเป็นพื้นฐาน มีสติเป็นตัวเล็งเป้า มีกำลัง คือ สมาธิของเรา มีอาวุธ คือ ปัญญา ฟาดลงไป ฟาดลงไป ฟาดลงไปที่จิตของเราว่า ไหนตรงไหนที่มันเที่ยง ตรงไหนที่มันคิดว่าเป็นตัวตน ฟาดลงไป เพ่งลงไป พิจารณาลงไป ตรงไหน มันมีตรงไหน มาดู อะไรเที่ยงมันมีมั้ย อะไรไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยแล้วมันเกิดขึ้น มันมีเหรอ ฟาดลงไป พิจารณาลงไป ดูไปตรงไหนมันไม่เที่ยงทั้งนั้น มีแต่ความไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่ถาวร ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่เป็นเรา
- 2 จิตตวิเวกสมมุติของโลกนี่คือคน นี่คือสัตว์ แต่บัญญัติธรรมของพระพุทธเจ้า ตัวตนนี้เอาแน่นอนไม่ได้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็ใครเล่าเป็นผู้เกิดผู้แก่ผู้ตาย ก็ตัวเรานั่นแหละ แต่จิตของเรามายึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนเป็นของเราเป็นตัวเรา จึงมองไม่เห็นความจริง ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาปฏิบัติธรรม เพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง ไม่มีกิเลสอยู่ในภายใน หัดปล่อยวางที่เรียกว่า วิปัสสนา คือ เห็นแจ้งประจักษ์ในความจริง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อเข้าใจชัดในอริยมรรคมีองค์แปด “ใจของเรานี่แหละ เป็นผู้ถึง เป็นผู้รู้ เป็นผู้เห็นชัดความเป็นจริง” ปล่อยวาง กิเลสตัณหาไม่สามารถบังคับใจเราได้อีก
- 2 จิตตวิเวก“ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุ และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะ มีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้” ธรรมะนี้นั้น เมื่อมาถึงหูของเราแล้ว จะเข้าสู่จิตใจของเราได้ไหม อยู่ที่จิตของเรามีความวิเวกหรือไม่ เพราะคนส่วนใหญ่ถ้าเผลอเพลินไป ที่ไม่ใช่แค่ความพอใจแต่ความโกรธความไม่พอใจด้วย จึงเห็นแต่ความดำรงอยู่ของมันด้านเดียว ไม่เห็นเหตุและความดับ แต่ “อะไรก็ตามที่มีเหตุเกิด ถ้าเหตุเกิด มันก็เกิด ถ้าเหตุดับ มันก็ดับ ไม่ใช่มีอยู่ดำรงอยู่ เท่านั้น” จะเข้าใจได้ ในทีนี้จึงเริ่มด้วยการตั้งสติตามกระบวนการของพุทธานุสสติ “จะไม่เพลิน แต่เห็นตามความเป็นจริง จะทำให้เราปล่อยวาง ละความยึดถือในจิตใจของเราได้
- 2 จิตตวิเวกเริ่มจากจุดที่มีปัญหา อย่าเริ่มที่คนนั้นมีปัญหา สิ่งนั้นมีปัญหา เรื่องนั้นมีปัญหา แต่ปัญหาทั้งหมด สุมรุมอยู่ในจิตใจเรา เริ่มที่ช่องทางใจของเรา..ตรงความกลุ้มใจกังวลใจ ความโกรธ ความไม่พอใจ จับได้ตรงไหน เล็งไปตรงนั้น เล็งให้ถูกจุด มันอยู่ตรงที่เรายึดถือ ถ้าตัดผิด แทนที่จะใช้ปัญญา ดันไปใช้กายวาจาใจตัด พูดทิ่มแทงพูดบังคับ ใช้กำลังขู่เข็ญ ความคิดนึกพยาบาทเบียดเบียนมุ่งปองร้าย นั่นคือ ไม่ถูก เป็นอกุศล ถ้าใช้ปัญญาในการตัด ปัญญาเกิดตรงที่เราสร้าง ตรงสมาธิสร้างปัญญา เกิดตรงที่คุณเห็นสิ่งต่าง ๆ โดยความเป็นของไม่เที่ยงที่เกิดขึ้นในจิตใจเรา นี่แหละสุดยอดปัญญา
- ‘..ต้องไม่นำความทุกข์มาทับถมตน ที่ไม่มีทุกข์ทับถม..’ ทำความเพียร อย่างมงาย แต่ให้มีความแหลมคม มีความชัดเจน ประกอบด้วยปัญญา ตามทางสายกลาง “ศีลสมาธิปัญญา” ‘..ไม่ต้องสละความสุขอันประกอบด้วยธรรมที่มีอยู่ด้วย และไม่มัวเมาอยู่ในความสุขนั้นด้วย..’ ‘..เมื่อกำลังตั้งไว้ ซึ่งการปรุงแต่งเหตุแห่งทุกข์..เพ่งอยู่ซึ่งตัวเหตุแห่งทุกข์นั้น ทำความเพ่งให้เจริญอยู่ วิราคะก็เกิดมีได้..’ เปรียบเหมือนชายหนุ่มมีจิตปฏิพัทธ์หญิงสาวที่ระริกซิกซี้กับชายอื่น เพ่งไปที่เหตุแห่งทุกข์ กำหนดไว้ด้วยสติ ตั้งไว้ซึ่งอุเบกขา ความคลายกำหนัดจะเกิดขึ้นได้ ‘..ความบากบั่น ความพากเพียรจะมีผลขึ้นมาได้..’
- 2 จิตตวิเวกระหว่างที่มีการเกิดมาแล้ว ระหว่างที่จะไปแก่ไปตาย ระหว่างนี้คือช่องว่าง ที่ต้องแทรกให้เห็นให้ได้ ใส่ตรงนี้ด้วยสติสมาธิปัญญา ระหว่างเหตุกับระหว่างผล ตรงที่อยู่ปัจจุบัน ที่มันเป็นช่องว่างระหว่างความเกิดกับความตาย “ตัดที่ตัวเรา อะไรที่มาเชื่อมกับตัวเรา ตัดได้หมด ตัดความยึดถือในกาย” เห็นเป็นความธรรมดา เห็นโดยความที่เป็นของเกิดจากเหตุเงื่อนไขปัจจัย ‘ธรรมดา’ ในความแก่ความเจ็บความตายล่วงพ้นไม่ได้ ถ้ามีเหตุ คือ ‘ความเกิด’ มาแล้ว เห็นตามความเป็นจริงในข้อนี้ จะละ จะกำจัด จะวางความยึดถือในสิ่งที่มีความแก่ความเจ็บความตายเป็นธรรมดาได้
- 2 จิตตวิเวก“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา” เห็นชัดด้วยตัวเอง “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลาง แตกสลายไปในที่สุด” รู้เท่าทันอย่างนี้ในตัวตนของเราเป็นอย่างนั้น วัตถุภายนอกก็เป็นอย่างนั้น นี่เรียกว่า เห็นอริยสัจจธรรม เห็นธรรมเห็นทุกข์ คือ เห็นคำสอนของพระพุทธเจ้าขึ้นมาในใจของเรา เราเกิดมาแต่ละคน ไม่ได้เกิดมาเพื่อตายเล่น ๆ แต่เกิดมาเพื่อความดี เกิดมาเพื่อมรรคผลนิพพาน เกิดมาเพื่อที่จะสร้างสมความดีให้เกิดขึ้นกับใจของเราให้ได้ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
- 2 จิตตวิเวกไม่ว่าจิตของเราถูกเสียดแทง ด้วยเหตุจากราคะมีความกำหนัดยินดีพอใจในเพศตรงข้าม ด้วยความรักตัวกลัวตาย ด้วยตัณหาในลิ้นในรส ด้วยความวิจิตรพิศดารที่ปรุงแต่งไปในโลก ด้วยความเพลิดเพลินในลาภสักการะสรรเสริญเยินยอ ด้วยไม่เห็นความเป็นทุกข์ คือ สิ่งที่ทนอยู่ได้ยากในสิ่งที่ไม่เที่ยงทั้งหลาย หรือด้วยตัณหาทิฏฐิว่า นี่เป็นตัวเราของเรา “ก็ถ้าเจริญสัญญา 7 ประการนี้ให้มากแล้ว เพียงพอแล้ว จิตจะหวนกลับ จิตจะถอยกลับ จิตจะถอนออก จะเบรกได้จะอุเบกขาได้ เปรียบเหมือนเส้นเอ็นหรือขนไก่ เมื่อโดนไฟแล้ว จะงอเข้า ไม่คลี่ออก” จิตของเราจะพ้นได้ อยู่เหนือจากสิ่งกระทบต่าง ๆ ได้
- 2 จิตตวิเวก“ผู้ใดทราบส่วนสุดทั้งสองด้วยปัญญาแล้ว ไม่ติดอยู่ในท่ามกลาง เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นมหาบุรุษ ผู้นั้นก้าวล่วงเครื่องร้อยรัดในโลกนี้ได้แล้ว” ถ้าส่วนสุดข้างหนึ่งเป็นเหตุ ส่วนสุดข้างหนึ่งเป็นผล ความดับจึงมีตรงกลาง คือ เหนือเหตุเหนือผล เพราะมีอวิชชาจึงมีสังขาร อวิชชาเป็นตัวที่ล็อคเชื่อมสิ่งต่าง ๆ อยู่ในโลกนี้ มีอวิชชาแล้วมีตัณหาด้วย ตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด เหตุผลต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น เข้าหากัน แค่เรารู้เราเข้าใจ ตรงกลางมันเป็นตัณหาเป็นอวิชชา วิชชา คือ ความรู้ เกิดขึ้นทันที ความรู้ความพ้น วิชชา วิมุตติ จะเกิดขึ้นทันที ณ จุดที่เรารู้ขึ้นว่า ตรงกลาง มันเป็นอวิชชา มันเป็นตัณหา
- 2 จิตตวิเวกเวลามันพัดตัวเราจากปัจจุบันกลายเป็นอดีตไปเรื่อย ๆ สู่ความตาย แต่จิตที่มักคำนึงยึดถือยินดีพอใจถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว หรือคืบคลานต่อไปในอนาคต เห็นสิ่งต่าง ๆ โดยความเป็นของมั่นคงยั่งยืนเที่ยงแท้ มีความเพลินความพอใจ นั่นคือ ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่มีหลัก ไม่มีเกณฑ์ ถูกพัดไปตามกระแส แต่จะเป็นผู้ฉลาด มีปัญญาเห็นแจ้งตามความเป็นจริง แยกกายแยกใจ เห็นขันธ์ห้าโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบันด้วย “วางแม้ในสิ่งที่เป็นธัมม์ปัจจุบัน” เริ่มต้นด้วยการตั้งสติ “สติอยู่ตรงไหน ปัญญาอยู่ตรงนั้น” ตั้งสติไว้แล้ว สิ่งต่าง ๆ มันจะแยกจากกัน ทำไปเรื่อย ๆ ตามกระบวนการของมรรค มันจะดับได้เอง “วางความยึดถือแม้ในจิต”
- 2 จิตตวิเวกเทศน์โดยหลวงพ่อ ดร.สะอาด ฐิโตภาโส เรื่อง ทางแห่งความดีด้วยวิปัสสนา เริ่มด้วยการทำใจให้สงบมีสติรู้ใจด้วยพุทโธ เมื่อใจสงบแล้วนำมาวิปัสสนา คือ การทำให้รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง พิจารณากาย แยกแยะลงไป ให้เห็นชัดในใจว่า ทุกคนไม่มีใครล่วงพ้นความเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้ ให้วางความยึดถือให้ปล่อยวาง เพราะตัวตนนี้เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาหาสาระไม่ได้ ปล่อยวางกายได้ใจก็พ้นทุกข์ ให้เร่งสร้างความดี พาใจไปนิพพาน
- 2 จิตตวิเวก“ก็เมื่อเธอระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงพระธัมม์ ระลึกถึงพระสงฆ์อยู่อย่างนี้ ถ้าอุเบกขาอันอาศัยกุศลธัมม์ ยังดำรงอยู่ไม่ได้ เธอย่อมมีความสลดหดหู่ใจ ด้วยคิดว่า ไม่เป็นลาภของเราหนอ ลาภไม่มีแก่เราหนอ เราได้ไม่ดีแล้วหนอ การได้ด้วยดีไม่มีแก่เราหนอ..” แค่คิดว่าทำไมยังทำไม่ได้ ละอกุศลธัมม์ไม่ได้ มีความสลดสังเวช นั่นดีแล้วที่ยังมีความระลึกถึงพุทโธธัมโมสังโฆ ความระลึกได้นั้นคือสติ แล้วระลึกความดีของตัวเองที่จะพึ่งได้ถ้าตายไป มีไหม? ถ้ามีอยู่ ตั้งมั่นไว้ รักษากุศลธัมม์ มีผัสสะอะไรมากระทบ ก็ธรรมดา รักษาจิตที่เป็นสติไว้
- 2 จิตตวิเวกจะนิ่งเฉยวางเฉยได้ ในผัสสะที่มากระทบ ในความคิด ในเสียง ในภาพ ในความรู้สึกต่าง ๆ จะง่วง จะโกรธ จะมึน คุณอุเบกขาได้ อุเบกขา คือ ความวางเฉย รับรู้อยู่แต่ไม่ได้จะสุขทุกข์ เดือดร้อน กำหนัด พอใจ ลุ่มหลงไปตาม แต่ในอุเบกขาที่ว่าดี ๆ ก็มีข้อเสียในความที่มันอาศัยเหตุเงื่อนไขปัจจัยจึงเกิดขึ้น เริ่มจากสติ มีสติอยู่ที่ไหน ความไม่ยินดียินร้ายก็อยู่ที่นั่น อุเบกขาอยู่ตรงนั้น อ้าวแบบนี้นั่นก็ “ไม่ใช่ตัวเราของเรา มีความเป็นเรา เราเป็นสิ่งนี้ สิ่งนี้มีในเรา” ปัญญาเห็นอุเบกขา โดยความที่ไม่ใช่ตัวตน โดยความเป็นของไม่เที่ยง อุเบกขานั้นก็เป็นอุเบกขาที่ยิ่งขึ้นไป จิตพ้นจากราคะโทสะโมหะ สติที่ตั้งไว้นั้นก็เป็นสติที่ประกอบด้วยปัญญา อุเบกขานั้นดำรงอยู่ แต่จิตไม่เศร้าหมองอีกต่อไป
- 2 จิตตวิเวกกายเป็นเหมือนถ้ำ เหมือนที่อาศัยของจิต ส่วนสิ่งที่เป็นนาม no time no space เดี๋ยวเกิดขึ้นเดี๋ยวดับไป นั่นคือ จิต เงื่อนไขของจิต คือ มีอวิชชา มีอวิชชาอยู่ตรงไหน จิตก็อยู่ตรงนั้น ไม่ได้จะคงที่คงตัวอยู่ตลอด เดี๋ยวสงบผ่องใสประภัสสร เวลาฟังเทศน์ฟังธรรมมีสติสัมปชัญญะ เดี๋ยวฟุ้งซ่านบ้าบอ เวลาถูกด่าถูกว่า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรแล้วหรือ ที่จะยึดถือว่าสิ่งนั้นเป็นตัวเรา ของเรา สิ่งใดไม่ใช่ของเรา ละวางความยึดถือสิ่งนั้นในจิต เห็นจิตโดยความเป็นอนัตตา โดยความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา วางความยึดถือด้วยการตั้งสติเอาไว้ ตั้งสติอยู่ในกาย ตั้งสติอยู่ในจิต เหลือแต่สติ
- 2 จิตตวิเวก‘สั่งสมบุญ’ คือ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ฝึกสมาธิวิปัสสนา เพื่อให้จิตสงบ ใจเป็นสุข ปิดอบายภูมิ มีมรรคผลนิพพานขึ้นมาในใจ แม้จะมีความคิดฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ที่มากระทบทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย หรือทางใจ ก็ไม่ให้ใจของเราหวั่นไหวออกไปรับรู้อารมณ์เหล่านั้น เป็นสักแต่ว่าเฉย ๆ เป็นธรรมดา อย่าบังคับความรู้สึกคิดนึก อย่าบังคับว่าจิตต้องอยู่กับลม ตั้งสติดูลมเข้าออกอย่างเดียว ทำให้ชำนาญไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใด ก็ใส่ใจกับปัจจุบัน เห็นลมหายใจเข้าออก สิ่งที่รู้ที่เห็น นั่นแหละมันไม่เที่ยง เพราะอย่างนั้นให้มีสติรู้ที่ใจของเรา ตลอดเวลาที่ยังหายใจ “เหลือแต่รู้อย่างเดียว”
- 2 จิตตวิเวก“ในโลกไม่มีสิ่งใด ๆ เลย ที่เมื่อเรายึดถืออยู่ จะเป็นผู้หาโทษไม่ได้” มีไหมในโลกนี้สักสิ่งหนึ่งที่ถ้าเมื่อเรายึดถืออยู่ มันจะหาโทษไม่ได้ ‘โทษในที่นี้ หมายถึง ความที่มันไม่เที่ยง ความที่มันเปลี่ยนแปลงไป’ เป็นไปตามอย่างที่เรายึดถือ ยิ่งยึดถือมากยิ่งมั่นคง มันจะมีความเป็นไปอย่างนั้นเหมือนเดิม ตามที่เราปรารถนาตามที่เรายึดถือเอาไว้ ไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ให้มันเที่ยงแท้เหมือนเดิมเป็นปกติ เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด ยิ่งถ้ายึดถือมาก ยิ่งมั่นคงมาก ยิ่งเที่ยงแท้มาก เป็นอย่างนั้นไหม มีไหม เราลองคิดดู
- 2 จิตตวิเวก“สมถะ…เมื่ออบรมแล้ว จิตจะเจริญ จิตเมื่อเจริญแล้ว จะละราคะได้ วิปัสสนา…เมื่ออบรมแล้ว ปัญญาจะเจริญ ปัญญาเมื่อเจริญแล้ว จะละอวิชชาได้” เพราะเกินกำลังของสติ ‘ความฟุ้งซ่านความง่วงซึม’ ถ้ามีสติเห็นแล้ว อย่ากังวลอย่าบังคับจิต แต่เห็นเป็นเครื่องหมายแล้วใช้ ‘สมถะวิปัสสนา’ ทำจิตให้สงบเป็นอารมณ์อันเดียว เห็นตามความเป็นจริงในความเป็นของไม่เที่ยงเป็นอนัตตาของสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบ จะปรับสมดุลมาตรงกลางได้ วางได้ สามารถละอาสวะที่เป็นรากเหง้าของอวิชชาได้
- 2 จิตตวิเวก“…เปรียบเหมือนอายุสังขารสิ้นไปเร็ว ยิ่งกว่าความเร็วของบุรุษ ความเร็วของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ความเร็วของเทวดาที่ไปข้างหน้าดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เหล่านั้น แม้ฉันใด เพราะเหตุนั้น พวกเธอทั้งหลาย พึงทำการศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจะเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท พวกเธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล.” พุทธพจน์นี้ไม่ยากเกินจะเข้าใจ เริ่มจากตั้งสติ เมื่อจิตเป็นสมาธิ “ให้เห็นตัวตนของเราด้วยปัญญาว่า ไม่ใช่ตัวตน เห็นด้วยปัญญาว่า ตัวตนไม่ใช่ตัวตนแล้ว จะมีความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ไม่มีสาระไม่มีแก่นสารไม่มีค่าควรที่จะยึดถือ จะปล่อยวางได้”
- 2 จิตตวิเวกในแต่ละวัน เราทำอะไรบ้าง ตื่นจากนอนก็นั่ง ยืน เดิน แล้วที่ทำอยู่มีสติสัมปชัญญะในอิริยาบทต่าง ๆ ในการงานในความนึกคิดต่าง ๆ ได้ไหม? จุดที่สำคัญในที่นี้ คือ “รู้ตัวรอบคอบ” อย่างไรที่จะเป็นผู้ที่มีสติอยู่อย่างสัมปชัญญะ ไม่ใช่เฉพาะแต่ที่วัด หรือเวลาที่เราเงียบ ๆ ง่าย ๆ ชิว ๆ แต่ในทุกที่ทุกสถานทุกแห่ง สามารถมีการปฏิบัติธรรมะอยู่ทั้งหมดได้ หรือแม้แต่ตอนนอนก็สามารถฝึกได้ เพื่อที่ไม่ให้บาปอกุศลธรรมตามเราผู้หลับอยู่
- 2 จิตตวิเวก“อวิชชา” คือ ความไม่รู้ ทั้งไม่รู้ว่านี่เป็นอบุญนี่เป็นบุญ เพราะอวิชชามันทำให้มืดให้มึนให้งง ก็ยังมีคนที่เมาบุญ ก็ยังมีคนที่ยังจมปลักอยู่ในบาปได้ จะเข้าใจลึกซึ้งลงไปอีกว่าอย่างไรที่จะไม่มีอาสวะ เหนือทั้งบุญทั้งบาปได้ ด้วยองค์ประกอบแห่งมรรค 7 อย่างเริ่มจากสัมมาทิฏฐิแวดล้อม จิตที่เป็นหนึ่ง นั่นคือ สัมมาสมาธิ เพ่งจดจ่อความจำได้หมายรู้จนเกิดเป็นความรู้แจ้งว่า ก็ถ้าเหตุเงื่อนไขปัจจัยทำให้เกิดสมาธิได้ แล้วถ้าเหตุเงื่อนไขปัจจัยของสมาธิหายไป จิตก็ไม่เป็นอารมณ์อันเดียว เห็นไหมนั่น? นี่มันไม่เที่ยงนะ เห็นความไม่เที่ยงนั้นนั่นคือ “ความสว่าง” แล้ว
- คนเรานี่แสวงหาทางพ้นทุกข์ ทุกข์มากทุกข์น้อยแตกต่างกัน ไม่ว่าจะทุกข์ของคนมีอันจะกินหรือไม่มีอันจะกิน ถามว่าเราจะพ้นจากความทุกข์ได้ยังไง ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์อะไรก็ตาม ถ้าในธรรมวินัยไหน คำสอนเรื่องใด ๆ ถ้ามีมรรค คือ ทางที่ประกอบด้วยองค์ประกอบอันประเสริฐแปดประการ ข้อมูลนั้น วิธีการนั้น กระบวนการนั้น ๆ คำสอนนั้น ๆ พ้นทุกข์ได้จริง เส้นทางการปฏิบัติอื่นที่จะให้พ้นทุกข์ได้ นอกมรรค 8 ไม่มีเลย เหมือนรอยในอากาศนั้นไม่มี แต่ร่องรอย คือ มรรคอยู่ตรงไหน ความหมดทุกข์ ดับไปอยู่ตรงนั้นแน่ ร่องรอยนี้มีอยู่ แล้วยังตรวจสอบได้ด้วยปัญญา จะรออะไร ทำเลยปฏิบัติเลย เดี๋ยวนี้ รักษาให้ดีต่อ ๆ ไป มรรคแปดทำได้ทุกขณะ ขับรถ กินข้าว เดินทาง พูดคุยติดต่อให้มีมรรคแปดอยู่ตลอด ๆ เราจะสามารถรักษาเส้นทางของเราให้ถึงที่หมายได้ ในเวลาไม่นาน
- 2 จิตตวิเวกสิ่งที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ได้ มันคือ กิเลส คือ ราคะโทสะโมหะ ไม่ว่าจะคนชาติไหน ถ้าเขามีกิเลสอยู่ในใจ เขาจะทุกข์ทันที “กิเลสมันอบรมจิตเรามาเป็นแบบนี้ ฝึกสอนให้เราเป็นแบบนี้ เพราะกิเลสมันสอนเรา” ให้ตอบสนองกับสิ่งที่พอใจหรือไม่พอใจแบบนี้ จึงมีอุปนิสัยแบบนี้ มีความคิดแบบนี้ มีบุคลิกแบบนี้ ๆ แต่จิตเรา เราต้องฝึกได้สิ ฝึกได้ เลือกได้ ปรับเปลี่ยนได้
- 2 จิตตวิเวกเปรียบการฝึกสติไว้กับการผูกลิงไว้ด้วยเชือกกับเสา มันมีแรงอยู่ก็พยายามดึงไป ๆ แต่ไปไม่ได้ นั่นคือ มีความคิดนึกอยู่ แต่ก็ไม่ลืมลม การที่ระลึกถึงลมหายใจได้ นั่นคือ สติ เหมือนจิตของเรา ถ้ามันจะหนีไปตามเสียงช่องทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ หาให้เจอ แล้วเอามันมาผูกไว้ มันหนีอีกก็ผูกไว้กับเสาอีก นั่นคือสติ มันจะค่อยอ่อนแรงลง ๆ จิตจะค่อยสงบลง ๆ ระงับลง ๆ รวมเข้า ๆ ไม่แส่ซ่านไปทางอื่น เมื่อจิตเป็นสมาธิ ใช้กำลังสมาธิ ความที่จิตเป็นอารมณ์อันเดียว เป็นเหมือนเสาอากาศที่จะแผ่กระแสแห่งความรักความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั่วทุกทิศทาง เปรียบเหมือนคนแข็งแรงเป่าสังข์ให้ได้ยินทั่วทั้งสี่ทิศไม่ยากฉันใด ก็แผ่กระแสไปอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีประมาณฉันนั้นเหมือนกัน
- เรามาแก้ความทุกข์กัน ทำจิตให้มีกำลังให้มีอำนาจ เพราะจิตที่ได้ฝึกแล้ว จะมีประโยชน์มาก เพราะจิตนั้นปกติข่มได้ยาก จิตมีลักษณที่เบา คือ ประภัสสร จึงสามารถไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ได้ง่าย มันจึงทุกข์ จิตของเรา ถ้าไม่สามารถสั่งได้ สั่งให้คิดหรือสั่งให้ไม่คิด ไม่ได้ มันจึงเป็นปัญหา กระบวนการที่จะฝึกจิต คือ ตั้งสติไว้โดยใช้ลมหายใจเป็นฐานที่ตั้งของสติ แต่สติไม่ใช่จิต และอย่าเข้าใจว่าลมหายใจ คือ สติ สติไม่ใช่ความคิด สติไม่ใช่ลมหายใจ สติไม่ใช่อารมณ์ “สติ” เป็นคุณธรรมอันเอกอันเดียว เป็นสิ่งที่จะรักษาจิตของเราได้ ฝึกให้จิตรู้ว่า นี้คือทุกข์ นี้คือเหตุให้เกิดทุกข์ นี้คือความดับไม่เหลือของทุกข์ นี้คือทางให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ “ฝึกจิต” แล้วในลักษณะที่ว่า ออกมาแล้ว ไม่ต้องฝึกอีก ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า เหนือแล้วจบเลย ไม่ยากเกินความสามารถ เรามาฝึกกัน
- สูงสุดของความทุกข์ คือ ตาย ถ้าเราเข้าใจทุกข์ไม่ถูก เราก็จะจมปลักอยู่ในความทุกข์นั่นเอง “ความตายไม่ใช่ความดับ ดับกับตายไม่เหมือนกัน จะดับตายจะหนีตายได้ ต้องเข้าใจต้องเข้าหาความตาย อย่ากลัวความตาย” คนเราในเมื่อเกิดมาแล้ว ต้องมีความตายเกิดขึ้นทุกคน ให้ได้ประโยชน์จากความตาย อย่าตายทิ้งเฉย ๆ มันเสียดายของ การเจริญมรณสติอย่างไรที่จะทำให้เราถึงความไม่ตาย คือ “อมตะ” ได้
- ‘จิต’ มีสติก็ตั้งขึ้นได้ พอเผลอสติก็หายไป ผ่องใสก็ได้กลับเศร้าหมองก็ได้ สงบระงับจากการปรุงแต่งเป็นอารมณ์อันเดียวก็ได้ ฟุ้งซ่านก็ได้ อ้าว! ให้จิตมันชิว ๆ นิ่งเย็นตลอดได้ไหม ไม่ได้! เพราะจิตอาศัยสติ รักษาศีลจิตก็เป็นสมาธิ เผลอสติไปตามภาพเสียงกลิ่นรส จิตก็คืบคลานไปตามการรับรู้ สมาธิก็หายไป เพราะจิตมีเหตุเงื่อนไขปัจจัยปรุงแต่งกันมา จิตจึงมีความไม่เที่ยงของมันอยู่ตลอด เป็นของไม่ใช่ตัวตน เพราะขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น เห็นตามความเป็นจริงข้อนี้ เห็นด้วยปัญญา ‘อนัตตา’ เห็นด้วยปัญญา ‘อนิจจัง’ เห็นด้วยปัญญาในความไม่เที่ยง ‘ทุกขัง’ จะทำให้ความไม่รู้ คือ อวิชชา ว่าจิตมันเป็นของมันอย่างนี้ตลอดกาลช้านาน เข้าใจแบบนี้แล้ววิชชาเกิดอวิชชามันจะดับไปได้
- ธรรมะบทแรก ‘ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร’ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นปฐมเทศนากับภิกษุปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ท่านทรงสอนไว้อย่างไร ใคร่ครวญธรรมในธรรมในคำสอนของ ‘พุทธะ’ ว่าอะไรคือหลักคำสอนที่มีความสำคัญสูงสุด เป็นความจริงอันประเสริฐ อะไรคือสิ่งที่แล่นไปดิ่งไปสุดโต่ง 2 อย่างที่ไม่ควรข้องแวะ อะไรคือขั้นตอนกระบวนการปฏิบัติที่เป็นทางสายกลาง ที่เมื่อทำกิจแต่ละข้อ ๆ ใน ‘อริยสัจ’ ได้แล้ว จะมีความรู้ยิ่ง อยู่เหนือจากความทุกข์ทั้งมวลได้
- 2 จิตตวิเวกเพราะการกระทำปรุงแต่งเหล่านั้น จึงเกิดเป็นลักษณะของการสั่งสม เป็นสภาวะที่ทำให้เกิดความชอบ ไม่ชอบ (ตัณหา) "จิต" จึงทำให้มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเราของเราอยู่ในนั้น ซึ่งจิตมันเป็นผลพลอยได้ เป็นผลพวงของความยึดถือมาอยู่แล้ว เป็นอย่างนี้มาช้านานแล้ว เป็นกระบวนการที่เป็นกระแสปรุงแต่งไปอยู่ตลอดกาลอยู่แล้ว ถ้าเราไปตามหาที่สุด เบื้องต้น เบื้องปลาย มันจะไม่เจอ ไม่ปรากฎ มันจะเป็นกระแสวนไปวนมา ไม่รู้เลยว่ามันเริ่มมาอย่างไร มันไปอยู่ตรงไหน เพราะมันเป็นวงกลมไง วนไปตลอดกาลช้านาน ความยึดถือก็เกิดขึ้นได้ตลอด ๆ ต่อเนื่องกันมาตลอด ทำให้เราเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงทรงหยุดสิ่งเหล่านี้ไว้ด้วยการบัญญัติสิ่งที่เรียกว่า "อวิชชา" “มันแค่เหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นความไม่รู้ ด้านหนึ่งเป็นความรู้ เราไม่รู้หรอกว่าทำไมมันต้องปรุงแต่งมาเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นอย่างนี้ล่ะ เป็นอย่างนี้แล้วและจะยังไง แต่ถ้าเรามองดูอีกมุมหนึ่ง อ๋อ! มันมีเหตุ มีผล มีเงื่อนไขเป็นปัจจัยแล้ว จึงก่อให้เกิดผลเป็นวิบากเป็นแบบนี้ มันไม่เป็นตัวของมันเอง นี่ ความรู้เกิดแล้ว”
- 2 จิตตวิเวกเกิดเป็นมนุษย์มันดีอยู่แล้ว มีกุศลมากกว่าอกุศลอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเราคงไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเปรตอสุรกาย กุศลหรืออกุศลมันก็อยู่ในกายในใจของเรานี้ แต่ถ้าไม่รู้จักแยกแยะ จะเห็นว่าบางทีก็ร้ายบางทีก็ดี ขึ้นอยู่กับกำลังขับดันของแต่ละฝ่าย ๆ จะดึงไปทางไหน คนฝึกได้เปลี่ยนได้ จากชั่วเป็นดี จากขี้เกียจเป็นขยัน จากโง่เป็นมีปัญญา มีกัลยาณมิตร ไปตามทางสายกลางไม่ชิดซ้ายไม่ติดขวา เริ่มด้วยการทำจิตให้มีความสงบนึกถึง “พุทโธ” ไม่เผลอไม่เพลิน แยกแยะด้วยสติ ตริตรึกให้การกระทำในทางกายวาจาใจไปในทางที่เป็นกุศลได้
- 2 จิตตวิเวกสมาธิภาวนา 4 อย่างที่ไล่จากเพื่อสติสัมปชัญญะ เพื่อความสุขในภายในที่นี่เดี๋ยวนี้ เพื่อสมาธิที่สามารถปรับใช้แก้ปัญหาได้ด้วยไอเดียใหม่ ๆ หรือเพ่งไปเพื่ออิทธิวิธี ไปจนถึงเพื่อคลายความยึดถือให้สิ้นไป เพราะเห็นตามความเป็นจริงในสิ่งต่าง ๆ โดยมีรูปแบบการปฏิบัติ 4 อย่างที่ไม่ว่าจะปฏิบัติแบบใดก็ตาม สมถะกับวิปัสสนาที่ไปด้วยกัน จึงจะทำให้ถึงความที่อาสวะเกิดขึ้นอีกไม่ได้ จะเข้าใจได้ “จิตเราสามารถฝึกได้” เริ่มจากการตั้งสติในที่นี้ด้วยการเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
- 2 จิตตวิเวก“หากสิ่งที่มิได้เกิด มิได้เป็น มิได้ถูกอะไรทำ มิได้ถูกอะไรปรุง จะไม่ได้มีอยู่แล้วไซร้ ความรอดออกไปได้ของสิ่งที่เกิด ที่เป็น ที่ถูกอะไรทำ ที่ถูกอะไรปรุง จะไม่มีเลย เพราะเหตุที่มีสิ่ง ซึ่งมิได้เกิด มิได้เป็น มิได้ถูกอะไรทำ มิได้ถูกอะไรปรุงนั่นเอง จึงได้มี ความรอดออกไปได้ของสิ่งที่เกิด ที่เป็น ที่ถูกอะไรทำ ที่ถูกอะไรปรุงนั้น จึงปรากฎอยู่” เข้าใจธรรมชาติของความเกิดขึ้นความดับไปของสิ่งต่าง ๆ ด้วยเงื่อนไขปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่เพราะลูกศรมันยังมีอยู่ตลอด ดับไปแล้วเชื้อมันยังมี ก็เกิดขึ้นได้อีกทันที ลูกศรคือสังขารการปรุงแต่ง เชื่อมกันเพราะมีตัณหา ต่อไปแล้วก็ต่อไป ทำอย่างไรที่จะจบ ทางรอดมีอยู่…จะเข้าใจได้ จิตต้องสงบเป็นสมาธิ ในที่นี้เริ่มด้วยการเจริญอานาปานสติ
- 2 จิตตวิเวกจิตไม่ได้จะแยกแยะได้ว่าชั่วหรือว่าดี มันแค่ยึดหรือไม่ยึด ความไม่รู้ของมัน คือ อวิชชา จะให้มันมีความรู้ รักษาให้ดี ๆ ด้วยสติด้วยปัญญาด้วยความเพียร ถามจิตดูทำไมเป็นแบบนี้ ชีวิตเราคุยกับจิตคุยกับตัวเองมาตลอด ผ่านการปรุงแต่งของจิตเป็นความคิดนึกปรุงแต่งสั่งสมเข้าไปในจิต เป็นความยึดถือเป็นอาสวะสั่งสมเข้าไป จึงเป็นอุปนิสัยแบบนี้ลักษณะความคิดแบบนี้ มีการตอบสนองแบบนี้ ๆ จิตมันไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา มันไม่ใช่ดี มันเป็นโทษ นี่คือ ปัญญาขั้นสูง เห็นความไม่เที่ยงโดยความเป็นโทษเป็นทุกข์เป็นอนัตตา สิ่งอะไรที่มีโทษ เราจะเอาไว้หรือ ทิ้งมันเลย จิตไม่ใช่ของเรา ละทิ้งความยึดถือในจิต อย่าคิดว่ามันเป็นของเรา ทิ้งแล้วอยู่กับอะไร อยู่กับสติ เอาสติตั้งไว้ จิตไม่ใช่ของเรา มันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงได้ “สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ไม่ใช่ว่าควรหรือที่เราจะเห็นว่าไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา” เออควร! ควรแล้วทำยังไง ตั้งสติเอาไว้ ด้วยปัญญาขั้นสูง เห็นตามความเป็นจริงแล้ว ละความยึดถือในจิตของเราเสีย วางมันซะ!
- รักก็เป็นราคานุสัย ชังก็เป็นปฏิฆานุสัย ไม่เข้าใจก็เป็นอวิชชานุสัย เกิดขึ้นมาแล้ว จิตมันก็เกิด สั่งสม รู้สึกว่าเป็นตัวตน แล้วปฏิฆะมันดับได้ไหม ราคะมันดับไหม เออมันดับได้ เข้าใจแล้ว มันไม่เที่ยงเป็นอนัตตา เห็นความไม่เที่ยงในสิ่งนั้น มันหลุดเลย แม้แต่จิตของเรานี้ด้วย เดี๋ยวเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างนี้เดี๋ยวเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น วางความยึดถือในจิตใจของเรานั้น วางซะ! วางความยึดถือ เข้าใจแบบนี้ คือ ปัญญา มีวิชชามีปัญญามีแสงสว่างเกิดขึ้น อวิชชานุสัยอยู่ไม่ได้ มันต้องหลุดออกไป ที่มีอยู่ ต้องดับไป ถ้าเหตุแห่งอวิชชามีอยู่ อวิชชาก็ต้องมีอยู่ ถ้าเหตุแห่งอวิชชาดับไป มันจะไปอยู่ได้หรือ อะไรที่เที่ยงไม่มีในโลก อะไรที่ไม่เที่ยงหาได้อยู่ในโลก สิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนในโลกที่มันปรุงแต่งเงื่อนไขปัจจัยกันมา ไม่มีหรอกสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน เข้าใจแบบนี้ คือ มีความรู้มีวิชชา คุณจะอยู่เหนือโลกนี้ได้ ออกจากโลกได้ ไปสู่ในสภาวะที่ไม่มีเงื่อนไขไม่มีปัจจัย ได้นะ
- 2 จิตตวิเวกกว่าจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งสำเร็จ ไม่ใช่ง่าย ๆ จะรู้ถึงความสุขความสำเร็จถึงคุณค่าความดีได้ ต้องผ่านความทุกข์ ต้องมีทุกข์มาเปรียบเทียบ อะไรที่ได้มาง่าย ๆ ความภูมิใจมันน้อย เห็นสุขโดยความเป็นทุกข์ เห็นทุกข์โดยความเป็นหัวฝี เห็นอทุกขมสุขที่กำลังมีอยู่โดยความเป็นของไม่เที่ยง เห็นด้วยสติสัมปชัญญะ ผ่านลมหายใจที่เข้าออกอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยจิตที่ตั้งมั่น ลมที่พัดเข้าพัดออกอยู่อย่างนี้ ให้พัดจนกระทั่งแม่น้ำทั้งสายเหือดแห้ง แต่เลือดน้ำเหลืองน้ำดีในกายให้มีอยู่ อย่าให้เหือดแห้งไป ต่อให้เหือดแห้งไปเนื้อเหือดแห้งไป เหลือหนังหุ้มเอ็นหุ้มกระดูกไว้ ด้วยองค์ 4 ประการนี้ ทำไมจะบรรลุธรรมไม่ได้ ทำไมเราจะตั้งสติทำความดีแน่วแน่ไว้ อยู่ตามทางมรรคแปด ทำไมจะไม่ได้ แค่ลัดนิ้วมือเดียวที่ตั้งสติไว้ เห็นความเกิดขึ้นความเสื่อมไป ความดับความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลง เห็นว่ากายนี้ไม่เที่ยง เห็นว่าลมหายใจของเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เห็นว่าสมาธิที่นิ่ง ๆ มีเหตุมีปัจจัย เห็นแบบนี้ คือ เห็นความไม่เที่ยง ด้วยจิตที่สงบ ชื่อว่าเป็นผู้ที่มารมองไม่เห็น เป็นผู้ที่มารตามกระแสไม่ได้ ไปตามทางไปตามกระแสแล้ว
- 2 จิตตวิเวก..ส่วนไหนเกิดมีขึ้นพัฒนาขึ้น อยู่ที่เราประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างกันในจิตใจ ที่ว่าตัณหาไม่สิ้นรอบอวิชชาละไม่ได้ นั่นคือส่วนที่เป็นพาลไม่ดี dark side ด้านมืดในจิตมีกำลัง แต่ถ้าเราเริ่มลอกถอนอวิชชาได้เริ่มรื้อถอนตัณหาได้ ส่วนที่เป็นบัณฑิตมีเพิ่มในจิตใจ ส่วนที่เป็นพาลมันลดลงทันที เพราะเห็นตามความเป็นจริงในสิ่งต่าง ๆ ว่าสุขเวทนาทุกขเวทนามันเป็นอย่างนี้ อวิชชามันลดลงด้วย อวิชชาเป็นรากของตัณหา อวิชชาลดลง ๆ ตัณหาสิ้นรอบ ๆ ออกไป ทำความเข้าใจทำความดี วิชชาเกิดขึ้น ตัณหาก็ลดลง ๆๆ ตัณหาลดลงไม่พอกใหม่เพิ่มขึ้น วันหนึ่งวันนั้นจะมีที่ตัณหาสิ้นรอบไปหมด อวิชชาละได้หมด ไม่มีอวิชชานุสัยเหลืออยู่ อวิชชาไม่ห่อหุ้ม ตัณหาไม่ผูกมัดรัดรึงเอาไว้ นี่คือพ้น หนีรอดหลุดออกจากเครื่องจองจำคือสังสารวัฏได้ ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดเป็นการปฏิบัติที่ทำให้กิเลสลดลง ทำให้คนพาลที่อยู่ในจิตใจของเราอ่อนกำลัง ทำให้บัณฑิตที่มีอยู่ในจิตใจของเรามีกำลังเพิ่มขึ้นสูงสุดนั่นแหละ หลุดพ้นได้
- ถึงเวลาที่จะปลดแอกตัวเราจากความยึดถือได้แล้ว ที่ไปยึดได้ คือ อุปาทาน เพราะเพลินพอใจในสิ่งใด มันติดกับสิ่งนั้นทันที โทษของมันก็มาด้วยเพราะความที่มันไม่เที่ยง จะกำจัดมันก็ละความยึดถือ อย่าให้เกิดความเพลินความพอใจ คือ เห็นโทษในความที่ไม่มีสาระไม่มีแก่นสาร เห็นบ่อย ๆ จะเป็นอุบายเครื่องนำออกจากความยึดถือในสิ่งนั้น แต่ถ้าเห็นโทษอย่างเดียวไม่เห็นรสอร่อยไม่เห็นเหตุเกิดไม่เห็นสิ่งต่าง ๆ ครบถ้วน บางทีไปยึดกับการปฏิเสธทุกอย่างปฏิเสธสิ่งนี้ไม่เอาสิ่งนั้นด่าทอขี้บ่น มันก็ไม่ได้เรื่อง กิเลสมันเอาเราสองทางเสมอ สิ่งที่ไม่เป็นสาระ คือ ความที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนได้ แล้วเอาสิ่งที่เป็นสาระ คือ อะไรที่ทำให้เราเห็นความไม่เที่ยง มีปัญญามีสติมีสมาธินั่นคือ มรรค เห็นตามความเป็นจริงโดยความเป็นของไม่เที่ยงของขันธ์ห้า เจริญเกาะอยู่กับมรรคแปด จะทำให้สามารถที่จะเห็นขันธ์ห้าตามความเป็นจริงได้
- 2 จิตตวิเวกผู้ที่พ้นจากความทุกข์ สามารถทำให้ถึงนิพพาน อันเป็นบรมสุขได้ ต้องฉลาดในขันธ์ทั้งห้าในฐานะทั้งเจ็ดโดยวิธีทั้งสาม จากปัญญา 3 ระดับ ที่เมื่อใคร่ครวญให้เกิดปัญญาจากการภาวนาแล้ว ปฏิบัติจนเกิดความคลายกำหนัดในขันธ์ทั้งห้าแล้ว จะให้ถึงความรู้ยิ่งรู้พร้อม คือความพ้นวิเศษได้ ต้องอาศัยการทำบ่อยๆ พิจารณาบ่อยๆ จึงจะเกิดความพ้นได้ ด้วยการพิจารณาขันธ์ทั้ง 5 ในฐานะทั้ง 7 โดยวิธีทั้ง 3 พิจารณาใคร่ครวญจุดนั้นจุดนี้ สับให้ละเอียดสับให้นัว จะสามารถทำปัญญาความรู้แจ้งความรู้ซึ้ง ปัญญาความฉลาดหลักแหลม แจกแจงไปกระจายไป จะสามารถรู้ถึงโดยความเป็นธาตุ รู้ถึงโดยความเป็นอายตนะ รู้ถึงโดยความเป็นปฏิจจสมุปบาทได้
- ไม่ฟุ้งไปซ่านไปในความคิดไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีด้วยสติที่รักษาจิต ไม่ตั้งสยบอยู่ในภายในด้วยการเห็นโทษ คือ ความไม่เที่ยงของในสมาธินั้น เมื่อไม่ติดอยู่ในสิ่งนี้ คือ ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น แม้ในความคิดนึกภายนอก คือ ไม่ฟุ้งไปไม่ซ่านไปในภายนอก ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นแม้ความสงบจากสมาธิที่เกิดขึ้นจากในภายใน คือ ไม่ตั้งสยบอยู่ในภายใน พอไม่ยึดถือทั้งนอกและใน ก็จะไม่สะดุ้ง ไม่สะดุ้งไปตามการเปลี่ยนแปลงของความคิดบ้างของสมาธิในภายในบ้าง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นรูปเวทนาสัญญาสังขารหรือวิญญาณในภายนอกในภายใน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นขันธ์ห้าที่หยาบละเอียดเลวประณีต มีในที่ไกลหรือว่าที่ใกล้ อดีตอนาคตหรือปัจจุบัน เมื่อไม่สะดุ้งสะเทือนเปลี่ยนแปลงไปตามความเปลี่ยนแปลงของขันธ์ทั้ง 5 จิตนั้นก็ดำรงอยู่ด้วยดี มันก็มีความร่าเริงมีความพ้น นั่นคือวิมุต จิตที่มีวิมุตเป็นที่แล่นไปสู่ จิตนั้นจะมีนิพพานเป็นที่แล่นไปสู่ สามารถที่จะเย็นคือนิพพาน เย็นอยู่ในภายใน พ้นทุกข์เลย ในที่ ๆ อยู่นี่แหละ
- ตัณหามันเกิดใช่ไหม มันเกิดตรงที่เรารักตรงที่เราพอใจ คุณรักชอบตรงไหน เวลาจะตัดจะละความรักความพอใจ ก็ต้องตัดมันตรงนั้น ถ้าคุณเป็นแผลที่ตาตุ่ม จะไปใส่ยาที่เข่า มันก็ไม่หายสั่นแหล่ว เรายึดตรงไหน จะละความยึดถือ ก็ละตรงที่ยึดนั่นแหละ สมเหตุสมผลนะ ใคร่ครวญดูดีๆ ถ้าไม่เห็นโทษของสิ่งใดสิ่งหนึ่งนี่นะ เราละไม่ได้หรอก พิจารณาตามปัจจัยในภายในให้อย่างถูกต้องแล้ว มันจะมาจบที่นี่ เหตุของมันคือตัณหา วิธีทางแก้ทางออกของมันคือมรรคแปดเท่านั้น ไม่มีเป็นไปทางอื่น ถ้าจะด่ากันว่ากันใช้เครื่องมือมาร คุณออกนอกทางแล้ว นั่นคือดื่มสุราที่เจือด้วยยาพิษ ผิดแล้ว เอาใหม่ ให้มีความเมตตากัน ให้มีความเห็นอกเห็นใจกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พูดจาดี ๆ ให้กัน มีความรักความปรารถนาดีมอบให้แก่กันและกัน ตัวเองด้วยคนอื่นด้วย เออ! อันนี้ปฏิบัติตามทางนะ
- 2 จิตตวิเวกด้วยอาหารทั้ง 4 อย่างใดอย่างหนึ่ง สามารถที่จะทำให้เกิดปรากฎการณ์ในที่นี้ คือกายคือใจของเรา ทำให้มีความทุกข์มีปัญหามีความแก่ความตายความโศกความร่ำไรรำพันความทุกข์กายความทุกข์ใจความคับแค้นใจได้ทั้งหมด โดยมีอาหารเป็นตัวหล่อเลี้ยง ปัญหามันเกิดขึ้นตรงที่ถ้าเรามีความกำหนัดยินดีเพลิดเพลินเกิดขึ้นเมื่อไหร่ มันจะเป็นความยึดถือเป็นอุปาทาน คือยึดถือกันแล้ว มันจะรวมกันเข้าไปเป็นก้อนเป็นกอบเป็นกำขึ้นมา นั่นคือเป็นภพ พอมีภพแล้วความเป็นตัวตนความเป็นสภาวะ มันเกิดขึ้นตรงนั้นเลย จริง ๆ จิตไม่ใช่ตัวตน ไม่มีความเป็นตัวตน ไม่ได้มีอะไร คือมันไม่มี แต่ความรู้สึกที่รู้สึกว่านี้เป็นตัวตนขึ้นมา นั่นคือจิต สิ่งที่เป็นตัวตนขึ้นมาแล้วนั่น คืออุปาทาน มันจึงอาศัยกันเกิด จึงให้รู้สึกมีสองอย่างในอย่างเดียว จริง ๆ แล้วมันมีอันเดียวที่เจริญเติบโตตั้งขึ้น นั่นคือความกำหนัดยึดถือพอใจ มีที่ไหนมันเป็นตัวตนขึ้นมาทันที ถ้าเอาออกแค่อันนี้อย่างเดียว สิ่งนั้นไม่เป็นตัวตนขึ้นมา แล้วมันก็เป็นธรรมดาของมัน เป็นตามเหตุตามเงื่อนไขตามปัจจัยของมัน
- 2 จิตตวิเวกพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "ต้องการละความพยาบาท ต้องหมั่นเจริญเมตตา ต้องการละความคิดเบียดเบียนผู้อื่น ต้องหมั่นเจริญกรุณา ต้องการละความอิจฉาริษยา ต้องหมั่นเจริญมุทิตา และต้องการละความขัดใจ ต้องหมั่นเจริญอุเบกขา" ดังนั้นเราจึงควรรักษาจิตให้ประกอบด้วยพรหมวิหารสี่นี้ตลอดเวลา ในทุกอิริยาบถ และทุกสถานที่ จะทำให้เราสามารถมีเมตตาได้กับทุกคน มีความกรุณาเมื่อพบคนได้รับทุกข์ มีมุทิตาเมื่อพบคนได้รับสุข และมีอุเบกขาทรงอยู่ได้เมื่อเห็นใครจะชั่ว หรือเจอสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจก็ไม่มีความขัดเคือง
- 2 จิตตวิเวกในชีวิตหนึ่ง ๆ จะประกอบด้วยนามและรูป โดยที่นามนั้นก็คือ มีแต่ชื่อสำหรับเรียก แต่ไม่มีรูปร่างหน้าตา ที่จะให้มองเห็นได้ด้วยตา หรือได้ยินได้ด้วยหู หรือที่จะทราบได้ด้วยกลิ่นด้วยรสด้วยการถูกต้องทางกาย ซึ่งก็คือ จิตนั่นเอง ตรงกันข้ามกับรูปซึ่งประกอบด้วยธาตุสี่ จับต้องได้ เป็นสภาพที่ไม่รู้อารมณ์ และแตกดับเสื่อมสลายได้ด้วยปัจจัยที่เป็นข้าศึก เมื่อไรก็ตามที่จิตมีอวิชชา จะทำให้เกิดอนุสัยขึ้น คือ ลักษณะที่จิตมันปักลงไป ทับถมลงไป เป็นอารมณ์คิดนึกไปแบบนี้ด้วยอวิชชา แต่เราสามารถถอนรากอวิชชาออกไปจากจิตได้ ด้วยการทำให้วิชชา คือ ความรู้ เกิดขึ้น โดยการเริ่มจากสมาธิ เพื่อทำให้จิตต้องมีความพ้น ต้องมีความเหนือจากผัสสะ ไม่ต้องวุ่นวาย หรือคิดนึกตริตรึกไปตามความคิดต่าง ๆ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องนามธรรมและรูปธรรมเพื่อให้เห็นว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล มีแต่เพียงธรรมซึ่งไม่ใช่เรา เพื่อละคลาย ไถ่ถอนความเห็นผิดว่ามีสัตว์ มีบุคคล มีตัวตน มีเราเขา อันเป็นไปเพื่อละคลายกิเลส ปล่อยวาง และดับเย็นได้
- 2 จิตตวิเวกวัฏสงสารเปรียบเสมือนห้วงน้ำใหญ่ ผู้ใดที่ยังไม่บรรลุมรรคผลย่อมเหมือนกับผู้ที่พยายามเวียนว่ายอยู่ในห้วงน้ำนั้น อาจจะจมบ้าง โผล่พ้นน้ำได้บ้าง ขึ้นกับความดีหรือความชั่วที่ได้กระทำ กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่ได้สร้างขึ้น ทั้งนี้ความเสื่อมและความเจริญสามารถปรากฏได้ ขึ้นกับเหตุปัจจัยที่เราสร้างขึ้น หากผู้ใดที่ได้บรรลุมรรคผลแล้วก็เหมือนเห็นทางที่จะพึงไปให้ถึงฝั่งได้ และหากผู้ใดที่ข้ามพ้นแล้วถึงฝั่งโน้น ยืนได้บนบกก็คือ "พระอรหันต์" นั่นเอง ด้วยท่านจะเข้าสู่พระนิพพาน ความดับเย็น ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้อีกต่อไป
- 2 จิตตวิเวกเมื่อใจเป็นใหญ่เป็นประธาน ทุกคำพูดและทุกการกระทำจะเริ่มจากใจเราทั้งสิ้น จึงเป็นการง่ายที่จิตสามารถหลอกเราผ่านทางวิญญาณที่ทำหน้าที่ในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ โดยการปรุงแต่ง คือ สังขาร เพื่อให้มีความรู้สึกต่าง ๆ คือ เวทนา มีความคิดนึกเป็นสัญญา และผ่านออกมาทางรูป ด้วยมีเชื้อเป็นความเพลิน ความยินดี ความพอใจเหล่านี้ไปทางไหน อุปาทานก็ไปทางนั้นเช่นกัน ทำให้รู้สึกว่าวิญญาณ หรือความคิดนั้นคือ จิต และยึดถือว่าเป็นตัวฉัน เป็นของฉัน เป็นตัวตนของฉัน ตามธรรมชาติของจิตนั้นเป็นประภัสสร แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเศร้าหมอง หรือผ่องใสก็ได้ตามการปรุงแต่งอยู่ดี ที่เกิดจากกิเลสที่เกิดขึ้นในใจ มีความเป็นของไม่เที่ยง ดังนั้นหากเราตั้งสติเอาไว้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งในอนุสสติสิบ สามารถทำให้การปรุงแต่งของจิตระงับลงและจิตสงบลงได้ ปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์แปดด้วยมีเป้าหมายอยู่ที่ "นิโรธ" ทำให้ละทิ้งความยึดถือในความเป็นจิตประภัสสรที่มีอวิชชาครอบอยู่ เห็นตามความเป็นจริง ดับเย็นได้
- 2 จิตตวิเวกเหตุปัจจัยของความตายนั้นคือ "ความเกิด" กล่าวได้ว่าหากมีการเกิดย่อมมีการตายแน่นอน เพราะความตายกับความเกิดนั้นต่างประสานกันได้ด้วยความไม่เที่ยง เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไปอีกจะเห็นว่า เหตุปัจจัยของการเกิด คือ ตัณหา และอวิชชา หากจะทำให้เหตุปัจจัยของการเกิดดับสิ้นไป คือ ต้องละตัณหา และอวิชชา ต้องเห็นโทษของความตาย การพิจารณาถึงเหตุปัจจัยของความตายได้อย่างถูกต้อง มองเห็นจุดจบของความตาย และพ้นจากความตายได้ เราจึงควรตั้งสติเอาไว้ เริ่มต้นด้วย "สัมมาทิฏฐิ" เพื่อออกจาก "วิจิกิจฉา" ซึ่งเป็นทางแยกของความตาย ทรงจิตอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมออยู่ในอริยมรรคมีองค์แปด จะสามารถละตัณหา อวิชชาได้ ทำให้เกิดผลใหญ่ มีอานิสงค์ใหญ่ มีการหยั่งลงสู่อมตะเป็นที่หวังได้
- 2 จิตตวิเวกเวทนาใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา หากได้วิเคราะห์เป็นขั้นตอนอย่างละเอียดและมีการปฏิบัติเพื่อรู้แจ้งคือ เข้าใจตามเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงโดยไม่ถูกกิเลสครอบงำ เราจะสามารถเข้าใจเหตุและผลของการเกิดผัสสะและเวทนาได้อย่างถูกต้อง ให้พิจารณาเห็นความเป็นอนัตตาหรือความไม่เที่ยงเหล่านั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดตัณหาตามมา สามารถวางเฉยได้แม้มีผัสสะมากระทบหรือรับรู้ได้ถึงเวทนาเกิดขึ้น การมีสติไม่ลืมว่าเวทนาทั้งสุข ทุกข์ อุเบกขา มีและไม่มีอามิส ล้วนเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง ไม่มองกายด้วยความเป็นคน สัตว์ ตัวตน เรา เขา แต่มองแยกเป็นแค่นามธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยมากมายเกิดขึ้น จะเห็นความเกิดดับ และเห็นว่าเวทนาล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
- พรหมวิหารสี่ คือ ธรรมะที่คุ้มครองโลกซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องของกาม เป็นสิ่งที่เนื่องด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เกี่ยวข้องด้วยวัตถุกามหรือปัจจัยสี่ ทำให้เกิดความกำหนัด ยินดี พอใจ มากบ้างน้อยบ้าง เปรียบเสมือนอยู่ในป่ารกชัฏที่ต้องระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา และต้องใช้สัญชาตญาณของสัตว์ป่าในการเอาตัวรอดจากป่าของกามนี้ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เราตกอยู่ในเกมส์ของมาร หากเราต้องการหลุดพ้นจากป่ากามคุณนี้ ควรจะฝึกจิตให้มองเห็นสิ่งที่เป็นปฏิกูลให้เป็นสิ่งที่ไม่เป็นปฏิกูลได้ หรือให้สามารถมองเห็นสิ่งที่ไม่เป็นปฏิกูลให้เป็นสิ่งที่เป็นปฏิกูลได้เช่นกัน ด้วยการปฏิบัติตนเพื่อถึงซึ่งกุศลธรรมเพิ่มขึ้น แต่อกุศลธรรมลดลงโดยที่ไม่เลือกเวลาและสถานที่ ทางออกนั้นก็คือ การเจริญซึ่งอัปปมัญญาสี่เป็นการเจริญพรหมวิหารสี่ที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้นเพื่อนำไปสู่การหลุดพ้น โดยการเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาที่ประกอบด้วยโพชฌงค์เจ็ดหรือองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ธรรม พร้อมทั้งอาศัยวิเวก อาศัยความคลายกำหนัด อาศัยความดับ และน้อมไปเพื่อการปล่อยวาง
- 2 จิตตวิเวกการเตรียมการณ์ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวแก่ก่อนแก่ หรือตายก่อนตาย จะเกิดความดีทั้งในเวลาปัจจุบัน และในเวลาต่อไป ๆ เราควรต้องเตรียมตัวในวันนี้ที่จะเข้าใจและยอมรับในทุกข์ที่เกิดจากภัยในอนาคตซึ่งเป็นเทวฑูตที่คอยมาเตือนสติเราเพื่อเป็นผู้ที่ผาสุกอยู่ได้ กล่าวคือ ไม่เป็นผู้ที่วุ่นวาย ร่ำไห้ คร่ำครวญ ทุบอกชกตัวถึงความเป็นผู้งุนงงคลั่งเพ้อ กระฟัดกระเฟียด กระด้างกระเดื่อง แสดงความโกรธ ความขัดเคือง ความไม่พอใจให้ปรากฏ ไม่สามารถดำรงจิตให้เป็นกลางได้ จิตกับกายเชื่อมกันมาด้วยอำนาจของกรรม แต่เราสามารถแยกมันออกจากกันได้ด้วยการตั้งสติเอาไว้เพื่อการแยกแยะ ไม่ให้แทรกซึมเข้าไปสู่ใจ ทำให้เกิดวิมุตติ คือ ความพ้น เห็นกันอยู่ รับรู้อยู่ แต่ไม่เกลือกกลั้วกัน เราจึงควรฝึกตายก่อนตาย ฝึกแก่ก่อนแก่ ด้วยจิตที่ตั้งขึ้นเป็นสมาธิ มีอุเบกขา มีความสงบนิ่ง แน่วแน่ ไม่หวั่นไหวกับผัสสะที่มากระทบ และแจ่มใสด้วยสติ สมาธิ และปัญญา หากมีความเข้าใจในทุกข์มาก ความยึดถือในชีวิตจะน้อย เมื่อภัยในอนาคตเกิดขึ้นก็จะทำให้เรายอมรับได้ และทำให้ความผาสุกมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน การตั้งสติขึ้น จะทำให้เกิดสัมปชัญญะ มีปัญญาพิจารณามองเห็นตามความเป็นจริง และยอมรับในธรรมชาติว่า "ความแก่ ความเจ็บเป็นธรรมดา ซึ่งเกิดขึ้นได้กับสิ่งที่มีความแก่และความเจ็บเป็นธรรมดา"
- การเล่าเรียนธรรมะหรือปริยัติถือเป็นการรักษาพระธรรมได้ทางหนึ่ง ซึ่งเราสามารถทำให้ธรรมะนั้นลึกซึ้งเข้าสู่จิตใจให้มีสมาธิ มีความสงบ มีความสุขที่เกิดจากในภายในด้วยการปฏิบัติหรือสิกขา และจะทำให้ได้รับผลที่เกิดจากการปฏิบัติที่เป็นไปตามลำดับขั้น เป็นผลจากการปฏิบัติขั้นที่ต่ำกว่าเป็นเหตุให้เกิดการปฏิบัติของขั้นที่สูงกว่ายิ่งๆขึ้นไปหรือปฏิเวธในที่สุด สวากขาตธรรมเป็นธรรมะอันผู้มีพระพุทธเจ้าประกาศไว้ดีแล้ว ซึ่งเป็นธรรมะทั้งหลายที่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นไปเพื่อความสุขและกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเกิดจากการสอดส่องใคร่ครวญเนื้อความด้วยปัญญา ไม่หละหลวมในการพิจารณาธรรม ดำเนินชีวิตตามหลักของอริยมรรคมีองค์แปด ทนต่อการเพ่งพิสูจน์ด้วยการรับผลอานิสงค์ที่ควรจะได้เป็นอย่างดี ถือเป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ตั้งไว้ด้วยดีโดยสามารถวัดผลได้จากราคะ โทสะ โมหะที่กลุ้มรุมจิตใจนั้นเบาบางลง ลดลง จนกระทั่งไม่เหลืออยู่เลย
- 2 จิตตวิเวกธรรมชาติของจิตทุกคนเหมือนกันหมด แต่สามารถทำให้แตกต่างกันได้ทั้งดีหรือชั่ว ประเสริฐหรือไม่นั้นขึ้นอยู่ที่การฝึกจิต โดยเริ่มจากรู้จักแยกแยะสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในช่องทางใจให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นสติกับวิญญาณ ความคิดกับธรรมารมณ์ ซึ่งมันเป็นคนละอย่างกัน แต่หลายๆ ครั้ง มักจะเข้าใจผิดว่าเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยเราแยกแยะได้ไม่ชัดเจนเพราะตัณหา ความรักใคร่พอใจ ที่มีรากคืออวิชชา มาปกปิดเอาไว้ ธรรมพระพุทธเจ้าที่จะรักษาจิตเราให้เกิดกุศลธรรมขึ้น ตั้งขึ้น มีขึ้นได้คือ สัมมาวายามะ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ให้มีศรัทธาอย่างลงมั่นไม่หวั่นไหว และมีความมั่นใจในการประพฤติปฏิบัติ ให้จิตของเรามีสติและสมาธิ มุ่งเน้นไปที่กุศลธรรมเป็นสำคัญ ทำให้มีหลักของใจที่จะรักษาจิตให้มั่นคงอยู่ได้ มีอารมณ์เป็นอันเดียว ไม่ออกนอกมรรค และความสิ้นทุกข์โดยชอบจึงปรากฏขึ้นได้ เพราะอาศัยเหตุปัจจัยคือ การปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม
- 2 จิตตวิเวกในวันนี้เรามาทำเข้าใจความแตกต่างกันของ ทุกข์ในอริยสัจ กับ ทุกข์ในมรรค คือ ทุกข์ในอนัตตลักษณะ ให้เราได้รู้จักกับความหมายของทุกข์เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ อันจะนำไปสู่แนวทางปฏิบัติที่จะสามารถพาเราพ้นจากความทุกข์นี้ได้
- 2 จิตตวิเวกสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องด้วย กามหรือขันธ์ 5 ต่างก็มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จะมีความแปรปรวนไป จะมีความเป็นอนัตตา มีความไม่ใช่ตน ตามกันมาด้วย หากเราต้องการในสิ่งที่เป็นอนัตตา เราก็จะไม่ได้ตามปรารถนา เนื่องจากสิ่งนั้นมีความเป็นอาพาธอยู่ด้วย อาพาธนั้นคือโทษ เป็นความที่มันเปลี่ยนแปลงไปได้ ไม่เที่ยง และแน่นอนมันก็เป็นอนัตตาเช่นเดียวกัน เมื่อเราเห็นโทษของกาม โทษของขันธ์ 5 และโทษของความเสื่อมแล้ว หากสามารถปล่อยวางได้จะทำให้เราไม่รู้สึกยินดียินร้าย ทำให้ไม่รู้สึกแย่ไปตามสุขหรือทุกข์ที่เกิดขึ้นหรือดับไป หนึ่งในข้อธรรมที่เราควรพิจารณาใคร่ครวญคือ "ธัมมุทเทส 4" ซึ่งเป็นธรรมะที่เมื่อมีแล้ว ใคร่ครวญแล้วจะทำให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ดังนั้นเราจึงควรพิจารณาใคร่ครวญตามธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาท และปฏิบัติตนตามแนวทางของอริยมรรคมีองค์แปด เพื่อละวางความยึดถือในสิ่งต่าง ๆ และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้
- 2 จิตตวิเวกจิตเป็นประภัสสร เป็นจิตที่สว่างไสว ไม่ใช่จิตที่บริสุทธิ์ หากมีสภาวะที่เหมาะสม ก็สามารถตกผลึกจนทำให้เกิดอาสวะสั่งสม จนกลายเป็นความเศร้าหมองได้ และเมื่ออาสวะรวมเข้ากับการกระทบของผัสสะ ก็จะทำให้มีกิเลสเกิดขึ้น เราสามารถแก้ไขได้ด้วยการชำระกิเลสออกขูดลอกอาสวะออกไป เพื่อทำให้จิตผ่องใสขึ้น เมื่อกิเลสไม่เกิด อาสวะก็ไม่สั่งสม วิธีแก้ไขก็คือ การตั้งสติเอาไว้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งในอนุสสติสิบหรือด้วยสติปัฏฐานสี่ เพื่อการเข้าสู่ความเป็นกลางของใจ และความเป็นประภัสสรของจิต ทั้งนี้จิตประภัสสรสามารถเปลี่ยนแปลงได้ บางครั้งอาจจะผ่องใส บางครั้งอาจจะเศร้าหมอง สะสมได้ทั้งบุญและบาปซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติของจิตที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จึงไม่ควรยึดถือทั้งจิตและใจว่าเป็นตัวเราของเราเพราะเป็นของที่มีอยู่ในโลกอยู่แล้ว ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็นธาตุสี่ หรือแม้กระทั่งธรรมารมณ์ก็ตาม จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางลงให้ได้ เพื่อดำเนินไปให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
- 2 จิตตวิเวกปฏิปทา หมายถึง ระบบแห่งการปฏิบัติอันประกอบด้วยกระบวนการ ขั้นตอน ทางดำเนิน ข้อปฏิบัติ และแนวทางปฏิบัติ สำหรับธรรมชาติของจิตที่แตกต่างกันซึ่งมุ่งเน้นไปที่ความกล้าหรือความเบาบางของราคะ โทสะ โมหะที่เกิดขึ้นในจิต สามารถปฏิบัติได้หลากหลายวิธีอาจจะเป็นการเจริญสมาธิ การพิจารณาอสุภะ เป็นต้น ทั้งนี้ปฏิปทาจะทำให้เกิดการบรรลุธรรมได้เร็วหรือช้านั้น ขึ้นอยู่กับการมีอินทรีย์ห้า (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา) ที่อ่อนหรือแก่กล้า อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติธรรมด้วยปฏิปทาที่แตกต่างกันย่อมมุ่งเน้นเพื่อให้เกิดเป็นปัญญา มองเห็นทุกข์ มองเห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นของที่เป็นปฏิกูล ไม่น่ายินดี ไม่เป็นสาระแก่นสาร สามารถเห็นตามความเป็นจริง และบรรลุธรรมได้ในที่สุด
- 2 จิตตวิเวกร่างกายประกอบด้วยธาตุต่างๆอันได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อากาศธาตุ (ธาตุช่องว่าง) และวิญญาณธาตุ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ เกิดขึ้นเป็นธรรมดา อีกทั้งยังโดนลวงด้วยอุปาทานความยึดถือที่สร้างขึ้นมาเอง ก่อให้เกิดเป็นภพและสภาวะขึ้น หากเรายึดถือสิ่งที่เป็นอนัตตา สิ่งที่แปรปรวนไป สิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ว่าเป็นตัวเราของเรา ก็จะทำให้ทุกข์เป็นของเราตามผัสสะที่มากระทบนั่นเอง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เพราะมีความคงที่ ทนอยู่อยู่ในสภาพเดิมได้ยาก อย่าให้เกิดอารมณ์ที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ ไม่มีความรู้สึกสุขไปตามหรือทุกข์ไปตาม เราจึงควรใช้ปัญญาพิจารณาเห็นตามเป็นจริง ให้เห็นถึงความเป็นอนัตตา เป็นเหตุปัจจัย เงื่อนไขที่ปรุงแต่งกันมา ให้เห็นเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เพื่อคลายความยึดถือลงได้ จะสามารถทำให้จิตสบาย ผ่องใส ยังคงเป็นความประภัสสรอยู่ได้ เพราะความยึดถือที่เบาบางลง ลดลง
- หลายๆ ครั้งที่เมื่อนั่งสมาธิแล้วสงบ มักจะเกิดคำถามว่าควรทำอย่างไรต่อไป อาการเช่นนี้เราเรียกว่า "เพลินในสมาธิ" ซึ่งเกิดจากอวิชชาที่เป็นความไม่รู้ในอริยสัจสี่นั่นเอง สมาธิที่ตั้งไว้แล้วแต่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะสมาธิลึกลงไป แต่สติมีกำลังละเอียดไม่เพียงพอตามกำลังของสมาธิ อย่าหลงเพลินไปในสมาธินั้นๆ ต้องตั้งสติขึ้นและใช้สติเพื่อแยกแยะ เพื่อให้เห็นว่าสมาธิเองก็ไม่เที่ยงเช่นกัน กำจัดเหตุของความเสื่อมออกไปให้หมด โดยไม่อยาก ไม่บังคับ ในทางตรงข้ามกันหากจะทำให้ความเจริญมีมากขึ้น ก็ต้องสร้างเหตุของความเจริญด้วยการทำให้มาก เจริญให้มาก ทำอยู่อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ไม่ขาดสาย ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาในทางที่ดีได้มากขึ้นนั่นคือ "การภาวนา" ความเสื่อมจะเจริญขึ้นก็มีเหตุของความเสื่อม ความเสื่อมถ้ามันจะเสื่อมไปมันก็ต้องอยู่ที่เหตุของมันหายไป เราจึงต้องใช้สติเพื่อแยกแยะ ประกอบกับสมาธิที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว จะทำให้เกิดปัญญามองเห็นตามความเป็นจริงได้ ว่าสิ่งใดก็ตามที่เป็นเหตุปัจจัย เป็นเงื่อนไขที่ปรุงแต่งกันมา ย่อมไม่เที่ยง จะทำให้สามารถปล่อยวางความยึดถือลงได้ในที่สุด
- 2 จิตตวิเวกในกายของเราไม่ได้มีสิ่งอะไรที่มันควรค่าแก่การที่จะยึดถือเอาไว้ เป็นของกลวง เป็นของเปล่า เป็นของไม่มีแก่นสาร เพราะมันไม่ใช่เป็นตัวของมันเอง เพราะมันต้องขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น เพราะมันเป็นของไม่เที่ยง มันมีสภาพที่เป็นทุกข์ ไม่ได้จะมาหาสุขในสิ่งนี้ได้ เราจะวางสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้คือ เราละความยึดถือ จะมาละความยึดถือในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ ต้องเห็นตามความเป็นจริง จะเห็นตามความเป็นจริงในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ จิตใจเราต้องมีสติ
- 2 จิตตวิเวกทุกคนเกิดมาแล้วล้วนต้องตายทั้งนั้น ซึ่งภัยจากความแก่และความตายเป็นภัยที่เราไม่สามารถต่อรอง ต้านทานหรือเอาชนะได้เลย เมื่อถึงเวลานั้นร่างกายนั้นก็ต้องทอดทิ้งไว้ในโลกเป็นธรรมดา ไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้เลย จะมีแต่บาปและบุญเท่านั้นที่จะติดตามเราไปได้ การเกิดของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เราจึงควรหมั่นสร้างกุศล ประพฤติธรรม ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ 10 ซึ่งเป็นเครื่องมือเครื่องสร้างที่จะทำให้เกิดบุญขึ้น และดำเนินไปตามทางของอริยมรรคมีองค์แปด สภาวะมนุษย์ได้มายาก ต้องรักษาให้ดี และให้มีสัมปรายภพเป็นที่ไปเป็นอย่างน้อย บุญกุศลและความดีจะเป็นที่พึ่งที่ไปของเรา หากได้เตรียมการไว้อย่างดีแล้ว หมั่นระลึกถึงความตายอย่างสม่ำเสมอด้วยจิตที่ระลึกถึงความดีที่กระทำ ก็สามารถที่ยังคงเป็นผู้ที่ผาสุกอยู่ได้เมื่อความแก่และความตายมาเยือน
- 2 จิตตวิเวกบุคคลที่ได้ฟังธรรมะเรื่องโพชฌงค์ 7 แล้ว ให้มีความสบายใจเลยว่า ธรรมะทั้งหมดนี้นั้นเข้ากันอยู่ในจิตใจเรานี่หล่ะ ให้เรามีความยินดี มีความพอใจ มีความอิ่มเอิบใจเลยว่าธรรมะที่ได้ฟังนี้นั้นเป็น "สวากขาตธรรม" จริงๆ บุคคลผู้ที่จะประกาศธรรมะแบบนี้ได้ต้องเป็นสัมมาสัมพุทโธคือ ผู้ตรัสรู้โดยชอบ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติตามข้อมูลธรรมะ มีโพชฌงค์ เป็นต้น ถ้าปฏิบัติได้ ปฏิบัติดีจริงๆ ท่านก็เป็นสุปฏิปันโนจริงๆ เหตุ คือ สติปัฏฐาน 4 ทำให้เกิดผล คือ โพชฌงค์ 7 เหตุ คือ โพชฌงค์ 7 ทำให้เกิดผล คือ วิชชาและวิมุตติ ธรรมะอันเอก คือ อานาปานสติ ทำให้เกิด สติปัฏฐาน 4 ธรรมะ 4 อย่าง คือ สติปัฏฐาน 4 ทำให้เกิด โพชฌงค์ 7 ธรรมะ 7อย่าง คือ โพชฌงค์ 7 ทำให้เกิดธรรมะ 2 อย่าง คือ "วิชชาและวิมุตติ"[...]
- 2 จิตตวิเวกการเกิดขึ้นเป็นชีวิตใดชีวิตหนึ่ง มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด ดูแล ชุบเลี้ยงและบำรุงด้วยข้าวปลาอาหาร ประกอบกันเป็นธาตุสี่ที่เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม การรับรู้ที่เป็นวิญญาณจากช่องทางของอายตนะทั้งหก การปรุงแต่งที่เป็นกรรมต่างๆ หากนำทั้งหมดมาประกอบกันเข้าก็จะเห็นว่าผลเป็นตัวเรา แต่ถ้าเรานำไปแยกแยะออกก็จะพบว่าหาตัวตนนั้นไม่เจอเลย เมื่อเห็นเหตุต้นผลปลายดังนี้แล้ว ย่อมจะมองเห็นความเป็นอนัตตาได้ชัดเจน เพราะเป็นเพียงชั่วเวลาขณะใดขณะหนึ่งที่มีเหตุปัจจัยประกอบกันได้ เข้ากันได้ ทำให้เกิดขึ้นได้ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา จึงไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา ในที่สุดแล้วเราจะพบว่าสิ่งที่เหลือไว้จริงๆ มีเพียงชื่อ ความดีความชั่วที่ได้กระทำ ดังนั้นเราจึงควรวางความยึดถือในกาย ในจิต ในทุกข์เหล่านั้น จะทำให้ความกำหนัดยินดีพอใจต่างๆ จางคลายลงได้ เกิดเป็นปัญญาความเข้าใจในการปล่อยวาง ตัดความยึดถือในตัวตนได้โดยอัตโนมัติ
- 2 จิตตวิเวกตั้งสติไว้กับลมหายใจเพื่อรักษาจิตไม่ให้ไปตามช่องทางทั้ง 6 เหมือนผูกสัตว์ไว้กับเสา ทำไปเรื่อยๆสัตว์เหล่านั้นจะอ่อนกำลังลง จิตก็เช่นกัน การรักษาจิตต้องไม่บังคับแต่ให้ควบคุมให้ดี เมื่อสติอยู่กับลมจะรับรู้อยู่แต่ไม่ตามไป แยกแยะแบบบุคคลที่ 3 ตั้งสติเอาไว้สะสมไปเรื่อย ๆ คอยสังเกตจดจ่อทำอย่างสมดุลจะเกิดเป็นสมาธิ ดั่งอุปมาเช่นการกกไข่ของแม่ไก่ “สร้างเงื่อนไขอย่างถูกต้อง มีปัจจัยทำมาอย่างดี มีการปรุงแต่งที่เหมาะสม ตั้งไว้อย่างถูกต้องแล้ว จะสามารถที่จะให้เจ้าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มาอยู่ในอำนาจได้” สติทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เป็นกระบวนการที่จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจะได้ผลเหมือนกับการบดงาจะหวังหรือไม่หวังย่อมได้นำ้มัน เมื่อสติมีกำลัง จิตระงับลง สมาธิเกิดจะเห็นเวทนาที่ละเอียดขึ้น สติก็ต้องละเอียดตามลงไป ไม่เผลอเพลินในสุขเวทนานั้น สติจะทำปัญญาให้เกิดขึ้นได้ก็ตรงจุดที่เราสังเกตเห็นความจริงนี้ สติกับปัญญาต้องผสมกัน สติจะทำให้เกิดปัญญาเห็นว่า ทุกสิ่งล้วนมีปัจจัยปรุงแต่งกันมาเปลี่ยนแปลงได้ ทำไปเรื่อย ๆ เห็นอยู่เรื่อย ๆ เหมือนชาวนาไขน้ำเข้านา วันนึงเมื่อเวลาที่เหมาะสมจะปล่อยวางได้เหมือนการค่อย ๆ ผุกร่อนของเครื่องหวาย ให้จิตตั้งไว้กับสติ ตั้งไว้กับมรรคจะเห็นผลในที่สุด
- 2 จิตตวิเวก“รู้ชัด” คือ เห็นความรู้สึกนั้นเป็นบุคคลที่ 1 เห็นสิ่งที่เข้าไปรู้สึกนั้นเป็นบุคคลที่ 2 ถ้าเรารู้ชัด นี้คือเราออกมาเป็นบุคคลที่ 3 จะไม่เข้าไปเกลือกกลั้วในเวทนานั้น แต่รู้ชัดว่าเวทนานี้เกิดขึ้นแล้ว ในเอพิโสดนี้ จึงอธิบายขยายความให้ลึกลงมาถึง “การเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย” เวทนา คือ ความรู้สึก สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายอย่าง เป็นเวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 หรือ เวทนา 36 ไล่ไปจนถึงเวทนา 108 ที่หมายรวมถึงเวทนาที่เนื่องด้วยเหย้าเรือนและหลีกออกจากเรือน ทั้งในอดีต อนาคต แปัจจุบัน เราจึงต้องมีสติรู้ชัดในเวทนาที่เกิดขึ้น การที่จะรู้ชัดได้ ต้องแยกออกมาเป็นบุคคลที่ 3 ไม่เข้าไปเกลือกลั้วเป็นอยู่ในเวทนานั้น แต่รู้ชัดว่าเวทนานี้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อรู้ชัดแล้ว ต้องมองให้เห็นถึงเวทนาทั้งหลายนั้น มีเหตุมีปัจจัยในการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไปได้ มีความไม่เที่ยง เป็นอนัตตา มีสภาวะแห่งความทนอยู่ได้ยาก คือ ความเป็นทุกข์ จะเห็นอย่างนี้บ่อย ๆ ได้ ต้องอาศัยสติและการฝึกฝน เพื่อที่เมื่อปฏิบัติ ๆ[...]
- 2 จิตตวิเวก“คนอื่น ๆ บรรลุธรรมตั้งแต่โสดาบันจนถึงอรหันต์ ก็มีมาได้ ตัวเราเองผู้ฟังคำสอนของพระผู้มีพระภาค จะให้ได้ใน 8 ระดับนี้ ก็ได้เหมือนกัน” เวลาที่เราเห็นคนโกนผมห่มเหลือง หรือเวลาที่เรานึกถึงสังโฆนั้น เรานึกถึงอะไร จะผิวเผินแค่เปลือกภายนอกจากเครื่องแต่งกายหรือลึกซึ้งลงไปกว่านั้น ในเอพิโสดนี้ ได้อธิบายถึงการระลึกถึงสังโฆ โดยที่ตัวเราเองนั้นก็สามารถปฏิบัติให้มีสังโฆอยู่ในใจได้ เป็นสังโฆในตัวเองที่ไม่ใช่ของคนอื่น "สงฆ์" หมายถึงหมู่ ไม่ใช่หมู่ธรรมดา แต่เป็นหมู่ของผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จุดสำคัญในที่นี้ คือ ฟังแล้วนำมาปฏิบัติ โดยเริ่มจากศีล สมาธิ ไปจนถึงปัญญา ผลที่พึงได้ ก็คือ บุรุษ 4 คู่ นับเรียงตัวได้ 8 บุคคล ที่เมื่อระลึกถึงสงฆ์ ก็ให้ใจระลึกถึงสังฆคุณตามบทสวดนี้ไปด้วย โย โส สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ยะทิทัง, จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อาหุเนยโย, ปาหุเนยโย, ทักขิเณยโย, อัญชะลิกะระณีโย, อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ, ตะมะหัง[...]
- 2 จิตตวิเวกอย่างไรจึงจะเรียกว่า “เห็นธรรมในธรรม” ถ้าเราเห็นว่านิวรณ์ 5 อุปาทานขันธ์ 5 มีเหตุเกิดเหตุดับ ละได้ นี้ก็ชื่อว่าเห็นธรรมในธรรม อุปาทานในขันธ์ 5 ไล่เรียงการเกิดการดับตามหลักปฏิจจสมุปบาท หรืออย่างเช่นในอายตนะ ถ้าเราเห็นช่องทางที่มา เห็นจุดเชื่อม แยกแยะได้ นี้ก็คือการเห็นธรรมในธรรม แต่ถ้าเราไม่เข้าใจในอายตนะทั้ง 6 ไม่เข้าใจเหตุเกิด ไม่เข้าใจถึงความดับ นั่นก็เป็นเครื่องร้อยรัดคือ อวิชชา คือสังโยชน์ 10 ที่อาศัยช่องทางเหล่านี้เกิดขึ้นได้ แค่รู้จักแยกแยะ เราจะเห็นเครื่องร้อยรัดที่มันรัดอยู่ เหมือนที่เรารู้จักแยกวัวสีขาวออกจากวัวสีดำ และจากแอก แยกแยะคือสติ ใคร่ครวญคือปัญญา หรือในโพชฌงค์ 7 ไล่จากการเกิดขึ้นไปตามลำดับทั้ง 7 ขั้นตอน รู้ชัดเหตุเกิดนั้นแล้ว พัฒนาให้เจริญ แต่ไม่ยึดถือแม้ในสติ แม้ในสมาธิ แม้ในปัญญาที่เกิดขึ้นนั้น หรือในอริยสัจ 4 (ความจริงอันประเสริฐ 4 อย่าง) ก็ให้เห็นรู้ชัด แยกแยะ และกระทำ ซึ่งกิจที่ต่างกันในแต่ละข้อ “ สติเห็นธรรมในธรรมความยึดถือมันจะจางคลายไป ถ้าจิตใจของเรามีสติตั้งไว้แบบนี้ เรียกว่าเป็นผู้ที่เห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย”[...]
- “เจริญกายคตาสติ แล้วเห็นด้วยปัญญาในความเป็นของไม่เที่ยง ในความเป็นของไม่ใช่ตนในกายของเรานี้ ชื่อว่าไม่เพลินไปในปัจจุบัน เป็นคนไม่เผลอไม่เพลิน ชีวิตนั้นมีค่ามาก” วันนี้ที่เรามีชีวิตอยู่วันหนึ่งขึ้นมา มันไม่แน่นอนว่าจะอยู่ต่อไปนานอีกเท่าไหร่ เพราะว่าชีวิตมนุษย์นี้มันน้อย ซ้ำยังประกอบด้วยทุกข์ วันนี้ที่เมื่อเราตื่นขึ้นมาแล้ว ให้ใช้มันอย่างมีค่ามาก เกิดผลประโยชน์สูงสุดในการที่จะเห็นด้วยปัญญาว่า กายนี้ มีความตายเป็นที่ไปถึงในเบื้องหน้า แต่สามารถทำประโยชน์สูงสุดให้ถึงความไม่ตายคือเป็นอมตะในจิตใจของเราได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า เราจะสามารถเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้น ๆ ได้หรือไม่ จึงควรทำความเพียรเสียแต่ในวันนี้ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง คนที่เห็นความจริงโดยประจักษ์ในข้อนี้ จะมีปัญญา ไม่เผลอเพลินไปตามอะไร ๆ ก็ตาม ที่อยู่ในกายนี้ จะไม่เข้าไปยึดถือ แต่จะเห็นโดยความเป็นอนัตตาในกาย ในสิ่งที่เราจะไปทำ และในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เราจะไม่เพลินไปในอดีต อนาคต หรือปัจจุบันได้ ก็ด้วยการตั้งสติสัมปชัญญะไว้ในกายนี้ ด้วยกำลังจิตที่เราตั้งไว้ตั้งแต่หลังตื่นนอน เชื่อมรอยต่อนี้ให้ดี พิจารณามาในกายให้ปรุโปร่ง เห็นตามจริงด้วยปัญญาในความเป็นของไม่เที่ยง แล้วทำความดีด้วยการเจริญพรหมวิหาร 4 ทำความเพียรอยู่ตลอดทั้งวัน การเป็นอยู่แบบนี้จะเป็นการอยู่ที่มีค่ามาก
- 2 จิตตวิเวกทำการพิจารณาใคร่ครวญ เพื่อทำความเข้าใจในช่วงรอยต่อของชีวิต ก่อนหลับและหลังตื่นนอน ในเอพิโสดนี้ จึงให้น้อมจิตไปเพื่อการนอนว่า บาปและอกุศลกรรมทั้งหลายอย่าได้ตามติดเราผู้นอนไปอยู่เลย อรกะ เจ้าลัทธิ ได้กล่าวเปรียบไว้ว่า "ชีวิตนี้น้อยนัก มีค่านิดหน่อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก แต่ชีวิตที่ว่าน้อยนี้สามารถทำให้เกิดปัญญามากได้" ปัญญาในที่นี้ คือ ปัญญาที่จะเห็นในกุศลธรรม ปัญญาที่จะเห็นว่าในความน้อยนี้ฉันต้องรีบทำกุศล เพื่อที่จะพ้นจากความน้อยนี้ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้ สัตว์ทั้งหลายเกิดแล้วไม่ตายไม่มี ทุกลมหายใจล้วนไปสู่ความตาย เราจะพ้นจากความตายนี้ได้ ก็ด้วยปัญญา เริ่มด้วยการสร้างกุศลบำเพ็ญบุญ ทำการสร้าง พัฒนา ปรับปรุง ดำเนินเดินตามมรรค ก่อนที่จะนอน ให้พิจารณาดังนี้ว่า ร่างกายของเรานี้ มันอยู่ไม่นาน อยู่ชั่วนิดเดียว เหมือนรอยกรีดบนผิวน้ำ นอนคืนนี้อาจจะไม่ได้ลุกขึ้นมาอีก ความดีของเรามีมั้ย? ให้ระลึกนึกถึงความดีก่อนนอนให้ได้ ทุกคนมีหมด ด้วยปัญญาระลึกถึงกุศลธรรม มีสติตั้งไว้ ปัญญาเกิด นี่คือการสร้างกุศลแล้ว ร่างกายเรามีแต่จะตายไปข้างหน้า แต่ว่าเราสร้างกุศลแบบนี้ จะมีความไม่ตายเป็นเบื้องหน้าได้ คิดแบบนี้แล้วให้สบายใจในกุศลธรรมที่มีอยู่ ต่อให้ไม่ตื่นขึ้นก็ตาม จิตใจไปสูงแน่นอน แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: ตามใจท่าน S09E01
- 2 จิตตวิเวกทำไมต้องรู้ ต้องทำความเข้าใจใน "อนัตตา" เพราะอนัตตาทำให้เกิดปัญญา ปัญญาในการที่จะตัดความยึดถือในสิ่งที่เป็นอนัตตานั้นได้ วิชชาเกิดขึ้นทันที อนัตตาทำให้เกิดปัญญา ปัญญาทำให้เกิดวิชชา พอเรามีอนัตตาคือความรู้ความเข้าใจ อวิชชามันก็หายไป ดับไป เหมือนเราเปิดไฟ ความมืดก็หายไปทันที การยอมรับได้ว่า "มันก็เป็นอย่างนี้หละ แล้วละกำจัดความยึดถือเสียได้"นี้จึงเป็นปัญญา ปัญญาในการเห็นสิ่งต่าง ๆ ว่า มันก็เป็นของมันอย่างนี้หละคือ ตถตามันจะไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนี้คือ อวิตถตามันจะไม่มีความเป็นไปโดยประการอื่นคือ อนัญญถตาและความที่มันจะต้องมีสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น คือ อิทัปปัจจยตา ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ได้เป็นตัวตนของมันเอง มีความที่เป็นอนัตตาเป็นธรรมดาของมัน ความรู้ความเข้าใจเห็นความเป็นอนัตตาตรงนี้ได้จึงเป็นวิชชา แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: สมการชีวิต S02E05 , เข้าใจทำ (ธรรม) S07E37 , ใต้ร่มโพธิบท S07E19 , ตามใจท่าน S10E34 , #การเห็นความจริงของเวลา
- กว่าจะได้ทองคำเนื้อดี ต้องผ่านกระบวนการหลายอย่าง จิตเราก็เช่นกัน จะเป็นจิตที่อ่อนเหมาะควรแก่การงานได้ ศีล จึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ชำระอุปกิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นความทุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อมีศีลมาอบรมกายวาจาใจให้สูงแล้ว ก็จะมีความไม่ร้อนใจ (อวิปปฏิสาร) เป็นอานิสงส์ พอมีศีลแล้ว เราจะเห็นว่าบางครั้งจิตยังคิดเรื่องไม่ดีที่เป็นไปในทางกาม พยาบาท เบียดเบียน เป็นเครื่องเศร้าหมองอย่างกลาง จะชำระได้ก็ด้วยสติสัมปชัญญะ พอมีสติจะแยกแยะได้ มีอะไรมากระทบก็ไม่ตามไป กลับมาที่พุทโธ เหมือนการผูกสัตว์ทั้ง 6 ชนิดไว้กับเสา ผลของการมีสติก็คือสมาธิ จิตที่มีสมาธิจะก่อให้เกิดปัญญาใช้ชำระอุปกิเลสอย่างละเอียด คือ อาสวะที่เป็นส่วนแห่งบุญได้ เป็นความยึดถือที่ละเอียด เกาะอยู่ที่จิต จะกำจัดอุปกิเลสอย่างละเอียดได้ ไม่ใช่ไม่ทำบุญ เพราะคำสอนคือละบาป สร้างกุศล และทำจิตให้บริสุทธิ์ ดังนั้น ยิ่งต้องทำทาน ศีล ภาวนา เพราะว่าส่วนที่จะทำจิตให้บริสุทธิ์ จะเห็นได้เข้าใจได้ เราต้องมีบุญ บุญนี้จะทำให้เราเหนือบุญได้ จะอยู่เหนือบุญได้ก็ต้องละบุญ จะละบุญได้ก็ขึ้นอยู่ที่จิตของเรา เพราะว่าบุญและบาปนั้นเกาะอยู่ที่จิต จะละบาปได้ต้องไม่ทำมัน แต่บุญท่านให้ทำ ให้สร้าง ให้ปฏิบัติ เราก็ทำ สร้าง ปฏิบัติ แต่ไม่ยึดถือ[...]
- 2 จิตตวิเวกพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวันที่ได้ปลงอายุสังขารว่า "ชีวิตของทุกคน ล้วนแล้วแต่มีความตายเป็นที่ไปในเบื้องหน้า" เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ มีความตายแน่นอน ณ วันที่เกิดนั้นแล้วเลย เปรียบไว้กับภาชนะดินที่ช่างปั้นหม้อได้ปั้นขึ้นแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องแตกหักทำลายไป ไม่มั่นคง" ประเด็นคือ ในขณะที่ร่างกายเราจะไปสู่ความตาย จิตใจของเราสามารถที่จะดำเนินไปสู่ความไม่ตายได้ เป็นอมตะได้ เราจึงต้องฉลาดเลือกเส้นทางที่จะดำเนินไป ซึ่งในทางกายอย่างไรสุดท้ายมันก็ต้องจบที่ความตาย แต่ใจของเรานี้ จะดำเนินไปทางไหนต่อ จะไปทางสูงทางสว่าง หรือไปทางมืดทางต่ำนั้น ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่สร้างไว้ ถ้าเรามีอกุศลธรรม มีความยึดถือ ทำผิดศีล มีความคิดอาฆาตพยาบาท ต้องรีบละ รีบกำจัดออกเสีย แล้วให้มาดำรงตนอยู่ในความดี ในกุศลธรรมข้อต่าง ๆ ที่เรามี ด้วยกายของเรา ด้วยใจของเรา เส้นทางที่เราดำเนินไปมันประกอบด้วยสุขที่มากขึ้น เป็นสุคติ แต่ในทางคำสอนนี้ มันไม่ได้ไปสุดแค่ความดี เป็นสุคติเท่านั้น ยังมีหนทางที่ดำเนินต่อไปได้จนถึงนิพพานเป็นที่สุดจบ ทางไปตรงนี้ ยังมีอยู่ ให้มั่นใจ เราจะรอดพ้นอยู่เหนือจากความที่ต้องมาเกิดแล้วตาย ๆ วนไปวนมานี้ได้ ก็ด้วยการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นทางที่จะให้จิตใจของเราเข้าไปสู่ความดับเย็นคือนิพพาน เป็นที่ที่จะไม่ตายได้ มีอมตะเป็นที่สุด แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: สมการชีวิต S02E31
- 2 จิตตวิเวกอะไรคือความสุขที่ควรละ อะไรคือความสุขที่ควรทำให้มาก และอะไรคือผลที่หวังได้จากความสุขนั้น "ความสุขจากกาม" มีสุขน้อย มีทุกข์มาก เป็นความสุขชนิดที่ทำให้กิเลสมันพอกพูน เป็นความสุขชนิดที่เป็นมิจฉา เป็นการกระทำที่อย่างต่ำ เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความสงบระงับ ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม นิพพาน อย่าไปหาความสุขชนิดที่ผิดศีลแล้วมีความสุข เพราะฉะนั้นด้วยความที่เรามีศีล จึงสามารถที่จะละการประกอบตนที่ไปพัวพันอยู่ในความสุขที่เนื่องด้วยกาม แล้วมาหาความสุขในทางที่หลีกออกจากกามได้ "สีลานุสสติ" ความระลึกถึงศีลของเราได้ นั่นคือสติ การเอาจิตมาจดจ่ออยู่กับศีลที่เรามี นั่นคือฌาน และจิตที่รวมลง ๆ เป็นอารมณ์อันเดียว นั่นคือสมาธิ ศีลจึงเป็นพื้นฐานของความสุขที่ประณีตละเอียดขึ้นไป เป็นสุขในภายในที่เกิดจากฌานสมาธิ และจุดประสงค์ของการที่มาหาความสุขในภายใน ก็เพื่อจะให้อยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ได้ เราจะมาเห็นความสุขได้ ถ้าไม่มีความทุกข์มาเปรียบเทียบกัน สุขนั้นเราจะเห็นได้ไม่ชัดเจน จึงต้องมีทั้งสุขมีทั้งทุกข์ มันถึงจะรู้เรื่องสุขรู้เรื่องทุกข์ได้ตามความเป็นจริง ซึ่งสุขที่เป็นไปในทางกาม เราไม่เรียกว่าสุข แต่เรียกว่ามันเป็นทุกข์ เราไม่หาความสุขไปในทางกาม 4 อย่างนั้นด้วยการผิดศีล แต่มาหาความสุขอีก 4 อย่างนี้ ที่เป็นไปในทางหลีกออกจากกาม เป็นความสุขที่เกิดจากฌานสมาธิ หาความสุขแบบนี้ เพื่อละความทุกข์แบบนั้น เพราะอาศัยความสุขที่เกิดขึ้นจากในภายใน ผลที่จะเกิดขึ้น[...]
- 2 จิตตวิเวก“ในที่นี้ เราจึงต้องตั้งสติให้มีกำลังพอสมควร ทำให้ถึงจุดที่เกิดเป็นสมาธิขึ้นได้ สมาธิคือจุดที่ให้มรรคทั้งหมด 7 รวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวในจิตของเรา จิตที่เป็นหนึ่งนี้เรียกว่า "สัมมาสมาธิ" ตรงนี้จึงเป็นทางที่เปิดโล่ง เป็นช่องที่จะให้เราดำเนินไปได้” กว่าจะมาเป็นสัมมาสัมพุทธะไม่ใช่เรื่องง่าย พระโพธิสัตว์เห็นอะไรในเทวฑูต จนทำให้ตัดสินใจออกบวชเพื่อต้องการค้นหาคำตอบ ทั้งทดลองฝึกสมาธิ ทั้งทดลองทำทุกรกิริยา ใช้กายบีบบังคับใจ ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ใช่คำตอบทั้งสิ้น เพราะนั่นยังคงก่อภพก่อชาติ ยังมีความยึดถืออยู่ ในที่สุด พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบทางสายกลาง ค้นพบอริยมรรคมีองค์ 8 ที่เป็นหนึ่งในความจริงอันประเสริฐ 4 อย่าง เป็นทางออกที่ทรงประกาศไว้ให้อย่างดีแล้ว และเมื่อเวลาที่เราเจอปัญหาเจอทางตัน ก็ให้แน่ใจได้ว่า ชีวิตนี้มีทางออก ให้มาตามทางนี้ ให้มีศรัทธา ให้มีความเพียร
- 2 จิตตวิเวกเมื่อเวลาที่เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม น่ากลัว เป็นทุกข์ จริง ๆ แล้ว เราไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ก็ได้ เริ่มต้นจากการที่เราทำความเข้าใจในความทุกข์นั้นให้ถูกต้องเสียก่อน จะเข้าใจได้ จิตต้องเป็นสมาธิ ในเอพิโสดนี้ จึงมาเริ่มปฏิบัติฝึกทำสมาธิกันด้วยการเจริญพุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าในข้อ “อรหันต์” มาตั้งไว้ในใจของเรา พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า จิตของเราจะเป็นสุขได้ ไม่เคลื่อนไปมาตามอารมณ์ที่มากระทบ จิตต้องมีการระลึกถึง มีสติตั้งไว้อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งเสียก่อน ในที่นี้คือ มาระลึกถึงความเป็น “อรหันต์” เพื่อให้รู้จักแยกแยะ รู้จักเลือกให้จิตของเรามาจดจ่อเอาไว้กับคุณของอรหันต์ การเอาจิตมาจดจ่อนี้คือฌาน การระลึกได้คือสติ สติที่มีกำลังจะทำให้จิตรวมลงเป็นสมาธิ สัมมาสติจึงเป็นเหตุให้เกิดสัมมาสมาธิได้ เมื่อจิตเป็นสมาธิอยู่นั้น การปรุงแต่งทางช่องทางกาย วาจา ใจ จะสงบระงับลง กิเลสเครื่องเศร้าหมอง คือ ราคะ โทสะ โมหะ ที่อยู่ในใจจะหมดไปชั่วคราว เป็นลักษณะเหมือนหินทับหญ้า หากแต่จะทำให้หมดไปอย่างถาวร ก็ต้องกำจัดอาสวะอวิชชาให้ออกไปจากจิตใจ ซึ่งสติที่มีกำลังจะช่วยให้กระบวนการหลุดพ้นนี้เกิดขึ้นได้ สติจึงเป็นหนทางเครื่องไปทางเดียว เป็นหนทางเริ่มแรก และเมื่อจิตมีความสงบแล้ว ก็ให้น้อมเข้ามาพิจารณาในตนว่า สุขก็คือทุกข์ ทุกข์นั้นเป็นเพียงแค่กระแสที่สืบต่อเนื่องกันมา ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัย เมื่อเข้าใจแล้วจะปล่อยวางได้ ฝึกทำบ่อย[...]
- 2 จิตตวิเวก“บุคคลที่มีจิตเมตตาเป็นอาวุธ ด้ามจับต้องมั่นคง เปรียบกับคุณธรรมของเราที่ต้องมีไว้ และต้องมีความคมแหลมของอาวุธ จึงฝ่าฟันอุปสรรคใด ๆ ไปได้ ซึ่งจะไม่ได้ด้วยการเกลียดชัง จะไม่ได้ด้วยการผูกเวร แต่จะได้ด้วยเมตตา” ในเอพิโสดนี้ เริ่มการปฏิบัติทำจิตให้เป็นสมาธิด้วยการเจริญอานาปานสติ และเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว ก็ให้ตั้งจิตไว้ด้วยกับเมตตา จึงได้ยก "เมตตสูตร" ขึ้น ซึ่งพระสูตรกล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงประทานอาวุธคือเมตตา มีเมตตาเป็นอาวุธ ประทานให้แก่เหล่าภิกษุผู้ปรารภวิปัสสนาได้ใช้สาธยายให้กับเหล่าเทวดาด้วยจิตที่มีเมตตาทั้งกาย วาจา และใจ ประกอบกัน โดยแบ่งวิธีการที่จะใช้อาวุธให้ได้ผลออกเป็น 2 ส่วน ในส่วนแรกคือ การเตรียมตัวเองทั้งกายและใจให้มีคุณสมบัติหรือคุณธรรมเหล่านี้ ซึ่งเปรียบไว้กับด้ามมีด เช่น ความสันโดษ ความไม่เย่อหยิ่ง ไม่ทำในสิ่งที่วิญญูชนตำหนิติเตียน เป็นต้น ส่วนที่ 2 เปรียบความแหลมคมของอาวุธคือ การแผ่เมตตา ให้แผ่เมตตาออกไปอย่างไม่มีประมาณ ในสัตว์ทั้งหลายเสมอหน้ากัน ไม่เว้นใคร ๆ หรือผู้ใด ให้แผ่ออกไปในทุกทิศทาง ทำได้ในทุกอิริยาบท จะได้ชื่อว่า "เป็นการอยู่อย่างประเสริฐ เป็นพรหมวิหาร " จิตที่ประกอบด้วยเมตตาอย่างนี้ จะสามารถละมิจฉาทิฏฐิได้ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นองค์นำ ความครบทั้งมวลของมรรค 8[...]
- 2 จิตตวิเวกธรรมปฏิบัติเรื่อง "วิธีฝึกหัดใจ" โดย พระครูสิทธิปภากร (หลวงพ่อ ดร. สะอาด ฐิโตภาโส) เจ้าอาวาสวัดป่าดอนหายโศก “ดีก็เพราะใจ ชั่วก็เพราะใจ ใจเป็นผู้รับผิดชอบการกระทำทางกาย การกระทำทางวาจา ใจก็เป็นผู้รับผิดชอบ เพราะฉะนั้น การฝึกหัดตัวเราคือฝึกหัดใจก่อน อบรมใจให้มีทานในใจ ให้มีศีลในใจ อบรมธรรมะหรือภาวนาให้จิตหลุดพ้น ก็ใจนี่แหละ เป็นผู้หลุดพ้น” ใจนี้ ไปทางชั่วหรือทางดีก็ได้ จึงต้องมีการฝึกหัดใจให้มีทาน ศีล ภาวนา เพื่อเป็นทรัพย์ที่จะใช้ติดตัวเราไปได้ เป็นอริยทรัพย์เพื่อทำให้เกิดมรรคผลนิพพาน ในที่นี้ หลวงพ่อฯ ได้นำอานาปานสติมาเป็นแบบฝึกหัดใจ ซึ่งในระหว่างการฝึกหัดนั้นขอให้มีความอดทน เพราะในนรกทุกข์ทรมานกว่าหลายเท่านัก เราสามารถทำวัฏฏะนี้ให้จบได้ หลวงพ่อฯ ได้ยกตัวอย่างเรื่องของ "สามเณรบัณฑิต" ที่แม้แต่สิ่งของที่ไม่มีจิตมีใจ ก็ยังสามารถฝึกได้ ดัดได้ แล้วทำไมใจของเราจะฝึกไม่ได้ ทานสอนให้เราเสียสละ ก็เพื่อกำจัดความตระหนี่ ศีลรักษากาย วาจา ใจ ไม่กระทำในสิ่งที่จะเดือดร้อน ภาวนาสอนใจให้สงบมีอารมณ์อันเดียว ทำมรรคผลให้เกิดขึ้นได้ จึงควรหมั่นเติมความดีให้ใจ เหมือนเติมจุดสีขาวลงในผ้าขาว และไม่ควรประมาทในวัยทั้ง 3 “ใจ ถ้าเราฝึกหัดมันย่อมได้ดี ถ้าเราไม่ฝึกหัดมัน ก็ไม่ได้ดี[...]
- 2 จิตตวิเวกถ้าเราไม่เข้าใจความตาย เราจะกลัวความตาย ความตายนั้นจะมีอำนาจเหนือเราทันที ถ้าเราไม่เข้าใจความแก่ ความแก่นั้นมันจะครอบงำเราทันที นี้เป็นตลกร้าย เป็นอวิชชา เป็นความไม่รู้ความไม่เข้าใจ เราจะอยู่เหนือความตายนี้ได้ ไม่ให้ความตายครอบงำเรา เราต้องอย่ากลัวความตาย เราจะไม่กลัวความตายได้ เราต้องทำความรู้ความเข้าใจในเรื่องความตายให้ได้อย่างดี พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ความตาย" เป็นของไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นของสิ้นไปได้ (ขยธรรม) เป็นของเสื่อมไปได้ (วยธรรม) เป็นของจางคลายไปได้ (วิราคะ) ความตายนั้นดับได้ (นิโรธ) เป็นธรรมดา ผลและเหตุเข้าใจให้ดี ความตายเป็นผลของเหตุคือโรคภัยไข้เจ็บได้ โรคภัยไข้เจ็บเป็นผลของเหตุคือการเกิดมา เพราะมีการเกิด ความแก่และความตายจึงได้มีแน่นอน ความเป็นอย่างนี้จึงเป็นตถตาตา มันจะไม่ผิดจากที่ต้องเป็นแบบนี้คือเป็นอวิตถตา มันจะไม่เป็นไปโดยประการอื่นเลยคือเป็นอนัญยถตา เพราะมันมีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งกันมาคือเป็นอิทัปปัจจยตา ความแก่มี ความตายมี เพราะปัจจัยคือการเกิด ความตายดับไปได้ ไม่ใช่ว่าด้วยการตาย แต่ต้องดับที่เหตุแห่งความตายนั้น เราจึงต้องเข้าใจสัจจะความจริงข้อนี้ว่า "ความตายเกิดขึ้นได้ ความตายต้องดับได้" (เหตุเกิดของความตายคือการเกิด ความดับไม่เหลือของความตายนั้นมันมี) จะทำอย่างไรให้เข้าถึงความดับไม่เหลือของความตายนี้ได้ ต้องดับการเกิด แต่จะทำอย่างไรเมื่อเกิดมาแล้ว ทางมีอยู่ ปฏิปทามีอยู่ เมื่อมีความตายจ่ออยู่เฉพาะหน้าแล้ว ทางรอดมีอยู่ นั่นคือ อริยมรรคมีองค์[...]
- 2 จิตตวิเวก"ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึงอมตะธรรม ทางมีองค์แปดเป็นทางอันเกษม" นี้เป็นคาถาที่ตรัสโดยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ในเอพิโสดนี้ ประเด็นที่จะมาทำความเข้าใจในคำกล่าวที่ว่า "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" โดยนัยทางคำสอนนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งต้องมีการพิจารณาให้ลึกซึ้งแยบคายลงไปถึง การดำเนินตามมรรค 8 ที่จะทำให้พ้นจากโรค คือ ราคะ โทสะ โมหะ และการพิจารณาเห็นทุกข์โทษของกายตามความเป็นจริง (อาทีนวสัญญา) ที่จะทำให้เกิดการปล่อยวางกายจนเกิดเป็นอโรคยาได้ อโรคยา ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการได้ (ลาภ) ที่ดีมาก ที่เมื่อเราเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นทางให้ถึงความดับไปของตัณหา อวิชชา โรคก็จะหายไป กิเลสที่เกิดขึ้นทางใจก็จะหายไป อุปาทานความยึดถือในกายไม่มี นี้เป็นเหตุของการไม่มีโรคคืออโรคยา แต่อาทีนวะอันเป็นทุกข์โทษของกายนั้นยังมีอยู่ เป็นธรรมดา จึงต้องแยกแยะแจกแจงกันให้ดี แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: เข้าใจทำ (ธรรม) S08E03 , คลังพระสูตร S08E52 , #ความไม่มีโรคที่แท้จริง ,
- 2 จิตตวิเวก"พุทโธ ธัมโม สังโฆ จึงเป็นอย่างเดียวกัน อยู่ในกายของเรา อยู่ในใจของเรา มีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงมาตามทางได้ก็ด้วยกายด้วยใจของเรานี้" ความลึกซึ้งในอริยสัจจุดสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ ที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามลำดับขั้น เพื่อจะทำให้มีความรู้คือญาณในอริยสัจสี่เกิดขึ้นมาได้ว่า สัจจญาณ คือ ปัญญาที่รอบรู้ความจริงในอริยสัจทั้ง 4 (รู้ว่า นี่คือทุกข์, นี่คือเหตุแห่งทุกข์, นี่คือความดับไม่เหลือซึ่งเหตุแห่งทุกข์, นี่คือทางแห่งความดับไม่เหลือซึ่งเหตุแห่งทุกข์) กิจญาณ คือ ปัญญาที่รู้กิจที่ควรทำในอริยสัจ 4 (รู้ว่า ทุกข์ ควรกำหนดรู้ , สมุทัย (ตัณหา) เป็นสิ่งที่ควรละ, นิโรธ ควรทำให้แจ้ง และมรรค ควรทำให้มาก ควรเจริญให้มาก) กตญาณ คือ ปัญญาที่รู้แจ้งในกิจที่ควรทำในอริยสัจ 4 ได้ทำสำเร็จแล้ว ในรอบแรก เราต้องรอบรู้ในความจริงในอริยสัจทั้ง 4 แยกแยะให้ได้ ต้องรู้ดูมองให้เห็น สิ่งที่เราต้องเข้าใจต่อไปคือ หน้าที่ที่ควรทำในแต่ละข้อนั้นต่างกัน ต้องทำให้ถูกต้อง ในรอบที่ 2 นี้ จึงสำคัญในเรื่องของมรรคที่จะต้องมีการปรับสมดุลในข้อปฏิบัติของเราอยู่เสมอ ๆ และในคำสอนที่เป็น "มัชฌิมาปฏิปทา"[...]
- 2 จิตตวิเวก"ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" เสียงเปล่งอุทานของยสกุลบุตร ผู้เป็นสุขุมาลชาติ ที่อิ่มเอิบไปด้วยกามคุณทั้งหลาย มีปราสาทสามฤดู มีทรัพย์สมบัติและเครื่องบำเรออันเลิศหรูมากมาย แต่ในที่สุดก็เกิดความสลดใจ เบื่อหน่าย ให้เรามาพิจารณาใคร่ครวญเรื่องราวของยสกุลบุตรนี้ แล้วน้อมเข้าสู่ตัวเรา "อิทํ โข ยส อนุปทฺทูตํ อิทํ อนุปสฺสฏฺฐํ" ทางออกไม่ใช่ไม่มี ทางออกมีอยู่ ๆ ทางที่ไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ไปทางนั้นจะมีคำตอบ แสวงหาที่พึ่งภายนอกว่าใครหนอ ๆ จะรู้ทางออกของความวุ่นวาย ความขัดข้อง ความไม่สงบนี้ สัก 1 หรือ 2 วิธี ที่นี่วุ่นวาย ที่นี่ขัดข้อง ที่นี่ไม่สงบ มันอยู่ในใจของเรานี้ ไม่ใช่ที่อื่น มันอยู่ในกายในใจของเรานี่แหละ จะทำอย่างไรที่จะไม่วุ่นวาย ไม่ขัดข้อง มีความสงบได้ มีความเย็นได้ ทางมีอยู่ ปฏิปทามีอยู่ ที่เมื่อผู้ปฏิบัติแล้วจะรู้จะเห็นได้ด้วยตนเอง หนทางปฏิปทานั้น คือ สติปัฏฐาน 4 (เจริญวิปัสสนาเห็นกาย เวทนา จิต และธรรม) พอเราตั้งสติไว้ด้วยอาการอย่างนี้ จะสามารถมีความที่จิตนั้นระงับลง[...]
- 2 จิตตวิเวก“เวทนาสุ เวทนานุปัสสี วิหรติ” ไม่ใช่ว่าให้อยู่กับเวทนานี้เท่านั้น แต่ต้องมองลึกทะลุลงไปในเวทนาที่เรามี ไม่ว่าจะเป็น อทุกขมสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ สุขเวทนา นั่นคือ การที่มองลึกลงไป เหมือนกับเราแยกตัวออกมา เหมือนการแยกออกมามองในลักษณะของบุคคลที่ 3 (เห็นเวทนาในเวทนา) ถ้าแยกได้คือได้สติ แต่ถ้าแยกไม่ได้ก็ได้ความเพลิน ในที่นี้จึงให้มีการรู้แบบมีสติ (ระลึกรู้) มีสัมปชัญญะ (กำหนดรู้ รู้รออบคอบ) และมีปฏิสังเวที (รู้พร้อมเฉพาะ , ความรู้ที่สมบูรณ์) สุขาปฏิปทาและทุกขาปฏิปทาล้วนต้องมีเวทนาเป็นเหตุ การเข้าสมาธิให้ลึกยิ่ง ๆ ขึ้นไป เป็นสุขาปฏิปทา ส่วนทุกขาปฏิปทา พิจารณามองให้เห็นความไม่เที่ยง ไม่จดจ่ออยู่ในทุกขเวทนานั้น เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องอาศัยผัสสะจึงเกิดขึ้น (ผัสสะมีเวทนาเป็นผล เวทนามีผัสสะเป็นเหตุ) เมื่อเห็นเหตุ ปัญญาจึงเกิดและรู้ชัดว่า เวทนาไม่เที่ยง เห็นไตรลักษณ์ในเวทนา เวทนาเป็นอนัตตา ไม่มีค่าควรยึดถือ ปล่อยมันไป เราจะอยู่เหนือเวทนาได้ แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: เข้าใจทำ(ธรรม) S07E49 , #การเห็นเวทนาในเวทนาเมื่อเจ็บไข้ , #ฝึกสติ[...]
- 2 จิตตวิเวก“จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การที่เราตั้งการระลึกนึกถึงเอาไว้อยู่กับสภาวะที่จิตของเรามันเป็นไปอย่างไร มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร” การเห็นจิตในจิต เป็นการเห็นการเปลี่ยนแปลงของจิตได้ว่า มีขึ้นมีลง จึงต้องตั้งสติเอาไว้ แล้วเจริญปัญญา ให้ความรู้แก่จิตผ่านทางศีล สมาธิ ปัญญา มองให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เห็นถึงความที่ไม่ควรยึดถือในจิต ในมรรค ไม่มีสิ่งใดที่เมื่อยึดถือแล้วไม่ทุกข์ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเรา เป็นตัวเรา เมื่อเห็นความเป็นอนัตตาจะมีความรู้เกิดขึ้น ก็จะทำให้ปล่อยวางได้ พ้นได้ สติ ศีล สมาธิ ปัญญา จึงเป็นสิ่งที่ควรทำให้เจริญ แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: เข้าใจธรรม S08E10 , S07E49 , คลังพระสูตร E09S07 , , #ทำจิตให้อยู่ในอำนาจ , E08S16
- 2 จิตตวิเวก“ร่างกายที่ต้องแม้คอยประคบประหงม ดูแลรักษา แล้วก็ถามว่าตัวเราในนี้ก็ไม่มีแล้ว คุณอยู่เพื่ออะไร กายนี้ คุณมีไว้ทำอะไร” ตั้งสติไว้ที่พุทโธ แล้วจึงเริ่มพิจารณากายทั้งภายนอกและภายใน ว่า ล้วนไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้ หากายนี้ไม่เจอ กายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่มีค่าอะไร ไม่ควรค่าแก่การยึดถือ เมื่อเข้าใจตรงนี้แล้ว ก็ยังต้องระวังจิตจะไปยึดถือกายผ่านทางวิญญาณ ซึ่งถ้าสามารถเข้าใจใน 2 ประเด็นนี้แล้ว จะเห็นตามจริงว่าขันธ์ 5 นี้ยึดถือไม่ได้ เป็นอนัตตา สิ่งเหล่านี้จะเข้าใจได้ เมื่อจิตเป็นสมาธิ เมื่อไม่ยึดถือ จิตจะเบาสบาย สว่าง มีความพ้น นั่นคือจิตประภัสสร แต่ความพ้นนี้จะกลับกำเริบได้ถ้าไม่รู้จักอวิชชาในจิตประภัสสรนั้น ดังนั้นแม้จิตที่ประภัสสรก็ต้องปล่อยวาง เพราะมีคุณสมบัติของความเป็นอนัตตา
- 2 จิตตวิเวก“รักษาจิตด้วยสติ มรรค 8 ก็ตามมา เป็นเหมือนกับ ที่รองที่ตั้งให้จิตของเราไม่ได้ไปวุ่นวายตามความสุข ความทุกข์ ให้เหมือนเยื่อหุ้มห่อจิตของเราเอาไว้ สิ่งอะไรที่จะมารั่วรดก็ไม่ได้ เพราะมันได้รับการรักษาไว้แล้วด้วยสติ ให้เราตั้งจิตแบบนี้ใคร่ครวญมาใน ธัมมานุสสติ เริ่มจากอารมณ์คือ พรหมวิหาร 4” เมื่อมีจิตใจที่สบายแล้วด้วยการเจริญพรหมวิหาร 4 ก็มาใคร่ครวญพิจารณาธรรมะกันต่อไป ในเรื่องของ อายตนะต่าง ๆ ที่มากระทบกัน (ผัสสะ) เกิดเป็น ธรรมารมณ์ ซึ่งทุกอย่างจะมารวมลงในใจ เมื่อจิตเข้าไปเสวยอารมณ์นั้น ๆ แล้วเข้าไปยึดถือ มีการสะสม กิเลสทำให้การตอบสนองเพี้ยนไป ทำให้เราถูกรึงรัดกักขัง ตกเป็นทาสของผัสสะ แล้วจะมีทางแก้ ทางออกอย่างไร รับฟังโดยรายละเอียดกันได้ในเอพิโสดนี้
- 2 จิตตวิเวก“ความคิดทั้งหมดไม่ใช่ความฟุ้งซ่าน เราตั้งจิตไว้อยู่กับสติ ความฟุ้งซ่านลดลงไปแน่นอน” ความคิดทั้งหมดไม่ใช่ความฟุ้งซ่าน ลักษณะของความฟุ้งซ่านมี 2 อย่าง คือ เป็นไปในทางกามพยาบาทเบียดเบียน และมีความคิดไปเรื่อย ๆ ไม่สงบระงับ จึงต้องตั้งสติไว้ที่พุทโธ ให้สติเป็นอธิบดี เป็นตัวคอยปรับอินทรีย์ทั้ง 5 ให้มีความสมดุล ไม่เพียรมากไปไม่เพียรน้อยไป ระวังกิเลสจะกินทั้งสองทาง ให้ค่อยปรับไป จะพ้นจากความเป็นทาส แล้วรักษาไว้ให้ดี
- 2 จิตตวิเวก"ใช้กายที่เป็นของเน่า ทำให้เกิดเป็นบุญ โดยในวันนี้เราจะใช้กายของเรานี้ให้ตั้งอยู่ เข้าอยู่ คงอยู่ในความประเสริฐด้วยอริยอุโบสถศีล" "อุโบสถ" หมายถึง การที่เราจะรักษา เก็บงำ ถือเอา ตั้งเอาไว้ รักษาเก็บไว้ให้ดีของการเข้าจำ รักษากายให้ดีแบบที่เป็นอริยะ แบบที่ประเสริฐ มีองค์ประกอบ 9 ประการ ที่เมื่อกระทำแล้วแม้เพียงวันหนึ่งคืนหนึ่งก็จะได้ชื่อว่า เข้าใกล้พระอริยเจ้า และควรทำให้เป็นปกติ รักษาไว้ให้ดี จะระลึกถึงความดีของศีลที่มีอยู่ในตัวของเราได้ เป็น "สีลานุสสติ" สัตตสูตร [๒๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุโบสถประกอบด้วยองค์ ๙ ประการ อัน บุคคลเข้าอยู่แล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความ แพร่หลายมาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุโบสถประกอบด้วยองค์ ๙ ประการ อัน บุคคลเข้าอยู่แล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มี ความแพร่หลายมาก อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมตระหนักชัดดังนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลายละปาณาติบาต งดเว้นจากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศาตรา มีความละอาย[...]
- 2 จิตตวิเวก“ปล่อยทิ้งกะปล่อยวางมันไม่เหมือนกันตรงที่ว่า คนเราจะทิ้งอะไร ปล่อยอะไรได้ จะต้องมีฐานมาจากการเห็นตามความเป็นจริงตามกระบวนการ คุณจะปล่อยวางได้ คุณก็จะต้องมีความคลายกำหนัด จะมีความคลายกำหนัดได้ก็ต้องมีความหน่าย ไม่ได้เอาธุระอะไรกับเขา จะมามีความคลายกำหนัดได้ ก็ต้องเห็นตามความเป็นจริงว่ามันก็ต้องเป็นอย่างนี้ มันจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นตามอัตตาได้ จะเห็นตามความเป็นจริงได้ จิตก็ต้องเป็นสมาธิ จิตจะเป็นสมาธิได้ ก็ต้องตั้งสติเอาไว้ ในที่นี้อยู่กับพุทโธ” สมาธิทำให้เห็นตามความเป็นจริงโดยความเป็นอนัตตาในอายตนะทั้ง 6 ว่า มีเหตุมีปัจจัย เราจะไม่ได้ไปเอาธุระกับมันยอมรับในสภาพที่มันเป็น จะเกิดความหน่ายคลายกำหนัดปล่อยวาง ให้ระวังโมหะที่จะทำให้กิเลสกลับกำเริบ ทำไปเห็นไปตามมรรค 8 พุทโธจริงเกิด ตามเหตุดั่ง "อิติปิ"
- 2 จิตตวิเวกท่านพระสารีบุตร เห็นความเกิดขึ้นเห็นความเสื่อมไป ในทั้งหมด 16 อย่างนี้ ตามรายละเอียดของ 7 อย่างนั้น ด้วยฌานสมาธิเห็นแล้วพิจารณาแยกแยะแจกแจงได้ว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีมา มีมาแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นดับไป ๆ มีความไม่เที่ยงด้วย ปรุงแต่งด้วย เห็นแบบนี้แล้ว ก็ไม่ยินดีไม่ยินร้ายไปตามผัสสะที่มากระทบ ความที่ไม่ยินดีไม่ยินร้ายนั้น จะมีสภาวะแห่งการสั่งสมของสิ่งที่เป็นกาม สิ่งที่เป็นภพ สิ่งที่เป็นอวิชชาไม่ได้ เพราะเมื่อไม่สั่งสมในช่องทางใจ พอเมื่อเราไม่ได้ยินดีไปตาม ไม่ได้ยินร้ายไปตาม กิเลสมันก็พัวพันไม่ได้ แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: คลังพระสูตร S09E13 , เข้าใจทำ (ธรรม) S07E59
- 2 จิตตวิเวก“ความตายดับได้ ความตายเกิดได้ ความตายไม่เที่ยง เพราะอาศัยเหตุปัจจัยคือความเกิด มีความเกิดแล้วความเกิดของความตายจึงเกิดขึ้น เมื่อความเกิดดับไป ความดับของความตายก็จึงดับได้ การดับของความตายจึงเกิดขึ้น” กลัวตายคือกลัวทุกข์ กลัวสิ่งใดจะคลายความกลัวในสิ่งนั้นได้ยิ่งต้องเข้าไปหาสิ่งนั้น ต้องสู้ ไม่หนี เรากลัวเพราะเราไม่เข้าใจมันไม่แน่ใจในมัน เอาสติสมาธิเป็นฐานเป็นอาวุธในการพิจารณาความตาย พิจารณาความตายว่า ไม่เที่ยง อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เพราะมีการเกิดจึงมีความแก่และความตาย ความเกิดในความตาย ความตายดับได้ความตายเกิดได้ เป็นอนัตตา ให้เผชิญหน้า ให้เห็นความจริงว่ามันดับได้ เราจะชนะมันได้ จะดับความตายได้ให้มันหายไปได้ไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกต่อไป เราต้องดับที่เหตุปัจจัยคือความเกิด ในข้อของการพลัดพราก ให้เห็นถึงจุดอ่อนของความตายคือความไม่เที่ยง ไม่มีค่าอะไร ไม่ใช่ของเราอย่าให้มีความยึดถือในสิ่งนั้น เราก็จะไม่รู้สึกว่าเราได้สูญเสียอะไรไป " ย้ำคิดย้ำทำในทางดี ให้กลัวบาป อย่ากลัวตาย" แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ : #แก้ตายด้วยการไม่เกิด
- 2 จิตตวิเวก“ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ระลึกถึงคุณธรรมเหล่านี้ของเทวดาเหล่านั้น ระลึกถึงคุณธรรมเหล่านี้ของเราด้วย เราระลึกถึงสิ่งใดสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น เข้ามาตั้งอยู่ในใจของเรา จิตนั้นก็ไม่มีราคะ โทสะ โมหะกลุ้มรุม ดำเนินไปตามมรรค ตัณหาก็หลุดออกไป ๆ” คุณธรรม 5 ประการของเหล่าเทวดา ที่เราสามารถมีตามได้ ให้เห็นให้ถูกว่าเขามีมาได้อย่างไร จะมีกุศลธรรมเกิดเป็น สัมมาทิฏฐิ แต่ถ้าเห็นไม่ถูก จะเกิดอกุศลธรรมเป็น มิจฉาทิฏฐิ เมื่อระลึกถึงแล้วตัณหาจะลดลง ความทุกข์ก็ลดตาม คุณธรรมก็มากขึ้น การระลึกถึงเทวตานุสสตินี้จะทำความบริสุทธิ์ให้เกิดมีได้ แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ : #เทวดามีอยู่จริง
- 2 จิตตวิเวก“ตั้งจิตทบทวนดูให้ดีว่า ในช่วงรอบปีหรือในรอบ 10 ปี 20 ปีของเราที่ผ่านมา มันเป็นอย่างไร ตั้งจิตดูให้ดีว่า ในรอบปีที่จะไปข้างหน้าหรือรอบอีก10 ปีที่จะไปต่อไป จะให้มันเป็นอย่างไร กำหนดเอาวันสุดท้ายของปีนี้เป็นการทบทวนดูว่า ที่ผ่านมาเราเป็นมาอย่างไร และต่อไปจากนี้ เราจะไปต่ออย่างไร ที่จะทำให้กุศลธรรมของเรามันดีมีเพิ่มขึ้น เราจะไปต่ออย่างไร ที่จะทำให้อกุศลธรรมที่มันมีอยู่ลดลง อกุศลธรรมที่มันยังไม่มา อย่าให้มันมา เราต้องตั้งความเพียรเอาไว้ ต้องมีความเพียรเป็นปธานกิจ คือ มีความเพียรที่เป็นหลักให้สติตั้งจดจ่อเอาไว้ ไม่ให้ลืมหลง ไม่ให้เผลอเรอ ตั้งสติเอาไว้แล้วใคร่ครวญมาในทั้ง 4 แง่มุม น้อมเข้ามาสู่ตัว รักษาสติ รักษาความเพียรให้เป็นปธาน ตั้งมั่นขึ้นไว้ให้อยู่ได้ตลอดทั้งวัน” ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้มีความเพียร พึงถึงความสิ้นทุกข์ได้ด้วย ปธานเหล่าใด ปธาน ๔ ประการเหล่านี้ คือ สังวรปธาน ๑ ปหานปธาน ๑ ภาวนาปธาน ๑ อนุรักขนาปธาน ๑ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ทรงแสดงไว้แล้ว ฯ…ปธานสูตร [๖๙] แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่: สากัจฉาธรรม-ความเพียรสี่สถาน ,[...]
- 2 จิตตวิเวก“ธรรมชาติ 2 อย่าง มีกิจที่ควรทำแตกต่างกัน เวลาจะให้มันเกิดก็ต้องให้มันเกิดด้วยกัน เมื่อมีอันหนึ่งก็ต้องมีอันหนึ่งด้วย เมื่อมีการรับรู้ คือ วิญญาณอยู่ที่ไหน ก็ต้องมีสติตั้งเอาไว้ ณ ที่ตรงนั้น ระลึกรู้ได้ ณ ที่ตรงนั้น “ การใช้พุทโธเป็นเครื่องมือ เปรียบเสมือนป้อมยาม ที่เมื่อระลึกถึงแล้ว จะก่อให้เกิดสติที่เป็นดั่งยาม สติกับวิญญาณนั้นเกิดด้วยกันมาพร้อมกัน แต่ทำหน้าที่ต่างกัน สติจึงต้องทำให้เจริญ พัฒนาให้มีให้เกิดขึ้นได้ และวิญญาณแค่รับรู้เฉย ๆ ให้รอบรู้ทำความเข้าใจ สติที่ตั้งขึ้นจะทำให้เกิดเป็นสมาธิ สมาธิที่ละเอียดขึ้น ๆ นั้น กิเลสก็ละเอียดขึ้น ๆ ตาม ต้องดูให้เห็น แม้ในสมาธิที่นิ่ง ๆ นั้น จะเห็นอวิชชาในจิตได้ ก็ต่อเมื่อจิตเป็นสมาธิ จะเกิดวิชชา เห็นความเป็นอนัตตา ซึ่งถ้าทำมาถูกทางแล้ว กิเลสตัณหาจะลดลง จิตจะมีความนอบน้อม คลายความยึดถือในขันธ์ 5 ได้ แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: เข้าใจทำ (ธรรม) E08S10
- 2 จิตตวิเวก“สติที่ตั้งเอาไว้ จะทำให้จิตของเราที่เมื่อมีการรับรู้ความคิดนึก รับรู้เสียง รับรู้ภาพ รับรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ จะไม่ถูกกาม พยาบาท เบียดเบียนบุกรุกรบกวนเข้ามาเกิดขึ้นในจิตของเรา มันจะแยกกันออกไป จิตก็รวมลงเป็นสมาธิได้ สติจึงทำสมาธิให้เกิดขึ้น มีการรับรู้คือวิญญาณเกิดขึ้น ณ ที่ไหน ก็ต้องมีสติคือการระลึกได้ตั้งไว้ที่นั้น พอเรามีสติเข้าไปตั้งมั่นโดยชอบแล้ว สิ่งที่จะพึงหวังต่อไปได้ กล่าวคือ "จะเป็นผู้ที่กระทำได้แล้วซึ่งโวสสัคคารมณ์" หมายถึง ความที่ตั้งมั่นแห่งจิต ความที่จิตเป็นอารมณ์อันเดียว ทั้ง ๆ ที่ก็มีความคิดนึกอยู่ เห็นอยู่ ได้ยินอยู่ มีการปรุงแต่งสิ่งต่าง ๆ อยู่ บ้าง ก็ยังเป็นจิตที่เป็นสมาธิ บุคคลที่มีสติตั้งไว้แล้วโดยชอบ มีจิตตั้งมั่นแล้วโดยดีแล้ว จะสามารถมีความรู้ชัดคือปัญญาอย่างนี้ว่า "สังสารวัฎมันเป็นสิ่งที่มีที่สุด เบื้องต้น เบื้องปลาย อันบุคคลไปตามอยู่ รู้ไม่ได้ ที่สุด เบื้องต้น เบื้องปลาย มันจะไม่ปรากฎเลยแก่สัตว์ทั้งหลายที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่" [๑๐๒๐] ดูกรสารีบุตร ก็สมาธิของอริยสาวกนั้น เป็นสมาธินทรีย์ ด้วยว่าอริยสาวก ผู้มีศรัทธา ปรารภความเพียร เข้าไปตั้งสติไว้ มีจิตตั้งมั่นโดยชอบ[...]
- 2 จิตตวิเวก“เย ธมฺมา เหตุปปฺภวาฯ” บทแห่งธรรมะที่พูดถึงเหตุแห่งความเกิดและความดับแห่งเหตุเหล่านั้น ปรารภพระอัสสชิเถระหนึ่งในปัญจวัคคีย์ได้แสดงธรรมอันย่นย่อของพระพุทธเจ้าให้อุปติสสปริพาชกฟัง จากที่ประทับใจในอิริยาบถสำรวมอันน่าเลื่อมใสของพระอัสสชิเถระเมื่อแรกเห็น ได้บรรลุพระโสดาบัน ขอบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว มีชื่อเรียกใหม่ว่าพระสารีบุตร “สิ่งอะไรต่างๆ ก็ตาม มันต้องอาศัยเหตุเกิด สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตาม มันจะดับไปได้ มันก็ต้องอาศัยเหตุดับ” ใคร่ครวญลงไปในธรรมโดยปรารภคาถา “เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ เตสํ เหตํุ ตถาคโต พระตถาคต กล่าวเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น เตสญฺจ โย นิโรโธ จ และความดับของธรรมเหล่านั้น เอวํ วาที มหาสมโณ พระมหาสมณะมีวาทะอย่างนี้” ถ้าเหตุแห่งความเกิดขึ้นมีอยู่ เหตุปัจจัยแห่งความดำรงอยู่ยังมีอยู่ ขันธ์ 5 นั้นก็ยังเกิดขึ้นอยู่ตั้งอยู่ได้ แต่ถ้าเหตุปัจจัยมีอยู่หายไปดับไป หรือเหตุปัจจัยของความดับมีเกิดขึ้น ขันธ์ 5 นั้นก็ต้องหายไปดับไป ตามกฎของไตรลักษณ์ ทุกอย่างล้วนอาศัยเหตุและปัจจัยในการเกิดขึ้นและดับไป เกิดปัญญาด้วยการใคร่ครวญลงไปในธรรม สิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดแต่เหตุ มีเหตุเกิดมีความดับ อาศัยกันและกันเกิดขึ้น มีความเป็นปฏิจจสมุปปันนธรรม รู้ตามอริยสัจ[...]
- 2 จิตตวิเวกสติต่างจากวิญญาณอย่างไร? สติ คือการระลึกได้, วิญญาณ คือ การรู้แจ้งหรือการรับรู้ เราต้องแยกแยะให้ถูก เข้าใจให้ถูกถึงการเกิดขึ้นของทั้งสติและวิญญาณ เปรียบเหมือน สัตว์ 6 ชนิดผูกไว้ด้วยเชือก และเสวียนรองหม้อ ที่จิตไปเสวยอารมณ์ตามสิ่งที่มากระทบ เปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามสิ่งไปรับรู้มา จึงต้องมีการป้องกันจิต เครื่องมือที่พระพุทธเจ้าให้ไว้คือ สติปัฏฐาน 4 หนทางอันเอก สติฝึกได้ ในที่นี้เน้นให้มาระลึกถึงคุณของพุทโธ แทนที่จะให้จิตไปตามการรับรู้ต่าง ๆ ก็ให้มาระลึกถึงพุทธานุสสติ ก็จะเกิดสติขึ้นทันที รับรู้แล้ว มีสติตั้งไว้ ไม่ตามไป เหมือนสัตว์ที่ผูกกับเสาไว้ดีแล้ว เชือกตึงแต่ไม่ขาดเสาไม่ล้ม ระลึกถึงพุทโธนี้คือสติ เป็นฐานรองจิต เหมือนเสวียนของหม้อ อุปสรรคที่จะทำให้เราลืมนึกถึงพุทโธ นั่นคือ นิวรณ์ เครื่องขวางกั้น (ขัดข้อง) จึงต้องใส่พลังให้จิตให้ถูกทาง แล้วนำมาให้เกิดประโยชน์กับตน ถ้าตั้งจิตไว้ในมรรค มรรคจะมีพลัง นำสู่วิมุตติ ถึงนิพพานได้ ฌานและสมาธิล้วนเริ่มจาก "สติ" มีสมาธิแล้วให้ใคร่ครวญด้วยปัญญาว่า ทุกสิ่งล้วนมีเหตุมีปัจจัยจึงเกิดขึ้น เป็นอนัตตา ไม่ควรยึดถือ แยกแยะให้ถูก จิตจะเป็นอิสระสู่วิมุตได้ แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists:[...]
- 2 จิตตวิเวก“วิญญาณที่ไปรับรู้แล้วไม่ปรุงแต่งต่อเนื่อง จิตนั้นไม่มีเชื้องอกต่อไปอีก เพราะมีสติรักษาเอาไว้” ถ้าหม้อมีก้นรองก็ไม่กลิ้ง จิตที่มีสติรักษาก็ไม่ได้ให้พลังกับวิญญาณการรับรู้นั้น วิญญาณไปทำหน้าที่การรับรู้ผ่านทางนามรูป ทำหน้าที่เฉย ๆ เป็นเหมือนเมล็ดที่ตายแล้ว ปลูกลงในดินก็ไม่ขึ้น ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ แยกจากกัน พ้นจากกัน นั่นคือวิมุตติ แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: เข้าใจทำ (ธรรม) E08S04 , E07S58 , ใต้ร่มโพธิบท E07S59#จิตนี้ฝึกได้
- 2 จิตตวิเวกรู้สึกตัวระลึกไปในกาย ในพุทโธ ธัมโม สังโฆ มี 4 อย่างนี้แล้วสบายใจ มีปิติ มีปราโมทย์ ตั้งขึ้นเป็นเสาอากาศเอาไว้ แผ่จิตไปด้วยพรหมวิหารทั้ง 4 ให้ทุกคนทั่วทุกทางเสมอหน้ากัน พอตั้งจิตไว้อย่างนี้แล้วปัญญาเกิด ไม่เอาอะไรไว้ แผ่ให้หมดทุกอย่าง รู้ชัดเข้าใจชัดในความที่สิ่งใดเป็นประโยชน์สิ่งใดเป็นโทษ เอาปัญญาที่มีความคมนั้นมาดูเข้าไปในจิตว่า "สติอยู่ตรงไหน จิตก็อยู่ตรงนั้น" จิตที่มีการปรุงแต่งเป็นธรรมดาคือ สังขาร ไปทำหน้าที่ในการรับรู้คือ วิญญาณ ไปรับรู้ในสิ่งที่เป็นนามและรูป ผ่านทางช่องทางของอายตนะทั้ง 6 เป็นผัสสะก่อเกิดเวทนา ตัณหา อุปาทานขึ้นในจิต มีภพมีความเป็นสภาวะ จิตนี้มีความสะดุ้งขึ้นลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของขันธ์ 5 ทำไมจิตจึงเป็นอย่างนี้ เพราะว่ามีความไม่รู้ มีอวิชชา ความที่มันเป็นอย่างนั้นคือ ความเป็นอนัตตา เข้าใจในความที่มันล็อคกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น พิจารณาไปตามปฏิจจสมุปบาท จะวางสิ่งที่เป็นอนัตตาได้ แล้วรักษาจิตไว้ด้วยสติ แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: เข้าใจทำ (ธรรม) E07S63 , #จิต&ปฏิจจสมุปบาท - ตอนที่ 1 , #พรหมวิหาร[...]
- 2 จิตตวิเวกนำคุณ 5 อย่างมารวมลงที่ “พุทโธ” ให้ตั้งสติขึ้นไว้ในใจท่ามกลางอก ไม่ให้จิตไหลไปตามกระแสของโลก แต่ให้มาตามทางของอริยมรรค จิตนั้นต้องไม่บังคับ แต่ต้องมีการควบคุม ให้จดจ่อลงมา เมื่อควบคุมดีแล้วจะเกิดฌานได้ เป็นผลจากการที่สงบระงับลงไปโดยลำดับ จะเกิดเป็นสมาธิตามลำดับขั้นจากฌาณที่ 1 ถึง 4 มีความละเอียดที่ลึกซึ่งลงไป มีความนุ่มนวลที่แตกต่างกัน จะฝึกสมาธิได้ ปัญญาก็ต้องมีอยู่ในระดับที่จะให้เกิดสมาธิ เข้าออกให้มีความชำนาญ สังเกตให้ดีทั้งความคิดนึกในจิตของเราที่เป็นวิญญาณการรับรู้ เอาจิตมาจดจ่อในจุดที่มันถูกต้อง นั่นคือตั้งสติเอาไว้ที่พุทโธ จะทำกำลัง ทำปัญญา ทำความรู้ ทำญาณทัสสนะให้เกิดขึ้นได้ แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: เข้าใจทำ (ธรรม) S07E46 , การฝึกสมาธิภาวนา , พุทโธ พุทโธ พุทโธ
- 2 จิตตวิเวกจิตของพระอรหันต์ไม่มีเชื้อในการที่จะให้เกิดขึ้นต่อไป พอไม่เข้าไปหา ไม่เข้าไปยึดถือว่าวิญญาณที่เกิดขึ้นเป็นตัวฉัน ฉันมีในสิ่งนี้ สิ่งนี้มีในฉัน ฉันเป็นสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นฉัน ถ้ามันมีความสามารถมีปัญญาในการที่จะเห็นว่า วิญญาณก็เป็นของมันนั่นแหละ ไม่ใช่ของฉัน พอเห็นอย่างนี้แล้วมันก็ไม่เข้าไปยึดถือ พอไม่เข้าไปยึดถือ วิญญาณนั้นก็เป็นวิญญาณที่ไม่มีเชื้อ เหมือเมล็ดที่เชื้อการเกิดแห้งแล้ว ต่อให้มีน้ำต่อให้มีดิน มันก็ไปโตต่อไม่ได้ การไม่เข้าไปนั้น มันจึงพ้นกัน เป็นจิตที่ดับเย็น พีชสูตร ว่าด้วยอุปมาวิญญาณด้วยพืช [๑๐๗] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย พึงเห็นวิญญาณฐิติ ๔ เหมือนปฐวีธาตุ พึงเห็นความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน เหมือนอาโปธาตุ. พึงเห็นวิญญาณพร้อมด้วยอาหาร เหมือนพืช ๕ อย่าง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้าถึงรูปก็ดี เมื่อตั้งอยู่ พึงตั้งอยู่ วิญญาณ ที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้ง มีความยินดีเป็นที่เข้าไปซ่องเสพ พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้าถึงเวทนาก็ดี ฯลฯ วิญญาณที่เข้าถึงสัญญาก็ดี ฯลฯ วิญญาณที่เข้าถึงสังขารก็ดี เมื่อตั้งอยู่ พึงตั้งอยู่ วิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้ง มีความยินดีเป็นที่เข้าไปซ่องเสพ พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์.[...]
- 2 จิตตวิเวกร่างกายนี้ไม่ว่าจะส่วนไหน ถ้าจี้จ่อลงไปมันมีอาพาธเกิดขึ้นได้ทั้งหมดไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง จึงเรียกว่า "กายนี้เป็นรังของโรค" มรรค 8 เป็นยาที่จะแก้โรคทางใจ เป็นยาสำรอกราคะ โทสะ โมหะ เป็นยาที่กำจัดรากต้นเชื้อคืออวิชชาได้ ด้วยการเห็นตามความเป็นจริงในกายของเรานี้ว่า เป็นของมีโทษมาก มีทุกข์มาก เรียกว่าเป็น "อาทีนวสัญญา" (กำหนดหมายโทษแห่งกาย คือ ความมีอาพาธ เจ็บไข้ มีความที่มันเปลี่ยนแปลงไปต่าง ๆ) ดังนั้น อริยมรรคมีองค์ 8 จึงมีอยู่ในกายของเรานี้เอง ซึ่งเกิดจากการเจริญกายคตาสติ การเจริญอาทีนวสัญญา โดยพิจารณาใคร่ครวญให้เห็นไล่เข้ามาในกายแบบนี้อยู่ตลอดอย่างต่อเนื่อง จะมีปัญญาเกิดขึ้น เป็นปัญญาญาณในการเห็นตามเป็นจริงเข้ามาในกาย เห็นโทษในกายนี้ได้ แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: เข้าใจทำ (ธรรม) S07E66 , S07E47 , S07E44 , S07E38 , S07E37
- 2 จิตตวิเวกพระพุทธเจ้าทรงอุปมาอุปไมยไว้ใน "สูทสูตร" เปรียบการฝึกปฏิบัติสมาธิเหมือนกับการทำอาหาร ที่พ่อครัวผู้ฉลาดรู้จักสังเกตเครื่องหมายคือ นิมิตห่งจิตของตน ก็จะได้รางวัลจากพระราชา คนทำสมาธิก็เช่นกัน รู้จักสังเกตเครื่องหมายคือนิมิตแห่งจิตของตนหรือไม่ ถ้าไม่รู้จักก็เททิ้งได้เลย อาหารจานนั้นไม่อร่อย ในที่นี้ให้มาสังเกตที่ลมหายใจ จดจ่อลงไป จะเห็นนิมิตนั้นมีหลายอย่างเหมือนรสชาติของต้มยำที่มีหลากหลาย มีสติเป็นเกราะดั่งเต่าในกระดอง มีสติแต่ยังรับรู้ได้ แยกแยะให้ออก ทำไปให้ถึงความสงบบ่อย ๆ ทำให้ชำนาญ และใช้ปัญญามองให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของสมาธินั้น ให้เห็นนิมิตด้วยปัญญา จะทำความเย็นให้เกิดขึ้นได้
- 2 จิตตวิเวกบุคคลที่ตามระลึกถึงพระตถาคต ตามระลึกถึงธรรมะอันประกาศไว้ดีแล้ว ตามระลึกถึงสิ่งที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้แล้ว ราคะโทสะโมหะก็ไม่กลุ้มรุมจิต จิตย่อมเป็นอารมณ์อันเดียวเป็นสมาธิได้ ระลึกถึงการตรัสรู้ว่ามีอยู่จริง ระลึกถึงคำบอกสอนไว้สืบต่อเนื่องมาทำได้จริง ระลึกถึงการปฏิบัติว่าใคร ๆ ก็ปฏิบัติได้ มีการทำกันอยู่ต่อมาถึงทุกวันนี้ได้จริง ๆ ในเรื่องอะไร ในเรื่องพื้นฐานแรกเลยคือศีล "คุณมีศรัทธาในพุทโธ ในธัมโม ในสังโฆแล้ว ใจจะมีศีลทันที" ศีลชนิดที่เป็นไปเพื่อสมาธิ เป็นที่พอใจของพระอริยเจ้า เป็นอิสระจากตัณหา ไม่ถูกลูบคลำด้วยทิฏฐิ คือการเจริญสีลานุสสติชนิดที่จะพาไปนิพพานได้ ทำได้ตลอดเวลา ให้เราระลึกถึงความดีของเราตรงนี้ให้มันได้ มีพุทโธ ธัมโม สังโฆอยู่ในใจ ถ้ามี 4 อย่างนี้ นั่นคือคุณมาตามทางแล้ว เข้าสู่กระแสแล้ว หันเหมาในทางที่จะไปสู่นิพพาน ปิดประตูสู่อบาย ให้มั่นใจสบายใจได้ แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: คลังพระสูตร Ep.02 , ตามใจท่าน Ep.28, ศีลเป็นไปเพื่อนิพพาน
- 2 จิตตวิเวกเริ่มปฏิบัติด้วยการฝึกเจริญกายคตาสติ ทำความรู้สึกจดจ่อลงไปในกาย เอาจิตลูบไปตามกระดูก ขยับจิตไปเรื่อย ๆ ตามอวัยวะ ไล่จากปลายเท้าขึ้นไปจนถึงกระโหลกศีรษะ จากกระโหลกศีรษะลงมาจนถึงกระดูกปลายเท้า มีหนังหุ้มอยู่ ไม่เห็นสักชิ้นเลยจากภายนอก ให้เราพิจารณากายของเรานี้ มาเป็นลักษณะโครงกระดูก มีศีรษะและแขนขา ทางเข้าของมันคือตรงกระดูกไหปลาร้า ทางออกของมันก็เป็นตรงช่องกระดูกเชิงกราน ร่างกายของเราเป็นแค่นี้ มองดูด้านนอกก็สวยดีเพราะเป็นหนัง แต่ถ้าตายแล้วเอาไปเผา ปล่อยให้เปื่อยเน่า กระดูกแยกไปคนละทางคนละชิ้น ตัวเราอยู่ไหน หาไม่มีเลย ให้พิจารณาตามความเป็นจริง รักษาสติให้ได้ตลอดทั้งวัน กายคตาสติสูตร[๓๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนรถม้าอาชาไนยเขาเทียมม้าแล้ว มีแส้เสียบไว้ในที่ระหว่างม้าทั้ง ๒ จอดอยู่บนพื้นที่เรียบตรงทางใหญ่ ๔ แยก นายสารถีผู้ฝึกม้าเป็นอาจารย์ขับขี่ผู้ฉลาด ขึ้นรถนั้นแล้ว มือซ้ายจับสายบังเหียน มือขวาจับแส้ ขับรถไปยังที่ปรารถนาได้ ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไร ๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว เธอ ย่อมถึงความเป็นผู้สามารถในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่งอันเป็นแดนที่ตนน้อมจิตไปโดยการกระทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่งนั้น ๆ ได้ในเมื่อมีสติเป็นเหตุ ฯ แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: เข้าใจทำ (ธรรม) Ep.44 ,[...]
- 2 จิตตวิเวก”บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้น ๆ ได้ พึงเจริญธรรมนั้นเนือง ๆ เถิด” ท่านไม่ได้ให้อยู่กับปัจจุบัน ท่านให้เห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ให้อยู่กับสติ ปัจจุบันทำอย่างไรกับมัน เห็นแจ้งในปัจจุบันอย่างไร เห็นความไวของมันว่ามันไม่เที่ยง ถ้าเรามีความมั่นคงไม่ง่อนแง่นไม่คลอนแคลน อยู่กับสติ จะเห็นปัจจุบัน เห็นอะไรในปัจจุบัน เห็นแจ้งธรรมปัจจุบันคือ ให้มีปัญญาเห็นความไม่เที่ยงในสิ่งที่เรารับรู้ แค่เราเห็นธรรมปัจจุบันโดยความเป็นของไม่เที่ยง เราจะเห็นสิ่งที่เรารับรู้ได้ ณ เดี๋ยวนี้ โดยความเป็นของไม่เที่ยงได้ จะรับรู้โดยเห็นเป็นของไม่เที่ยงได้ คุณต้องมีปัญญาให้รู้ชัดเห็นชัดด้วยปัญญาชัดเจน จะรู้ชัดเห็นชัดได้ ก็รู้แจ้งเห็นแจ้ง "วิญญาณรู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดเห็นแจ้งสิ่งนั้น" รู้ว่ามันไม่เที่ยงคืออนิจจัง รู้ว่ามันเป็นของปลอมไม่ใช่ของจริงคือ มันเป็นอนัตตา รู้ว่ามันทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้นั่นคือเป็นทุกข์ "อยู่กับสติจะเห็นปัจจุบันโดยความเป็นของไม่เที่ยงได้ ให้เห็นแจ้งธรรมปัจจุบันด้วยสติ" แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: เข้าใจทำ (ธรรม) Ep.59
- 2 จิตตวิเวกการระลึกรู้หรือสติ สามารถทำได้ทั้งเต็มรูปแบบและในจิตอธิษฐานการงาน โดยใช้หลักการเส้นทางเดียวกัน แต่ต่างรูปแบบ วิญญาณมีทุกที่ มีทุกเรื่อง มีทุกช่องทาง มีในทุกเวลา แต่เราเลือกที่จะเอาจิตของเรามาจดจ่อไว้อยู่กับสิ่งที่เราทำอยู่เฉพาะหน้า นี้คือการระลึกได้ คือสติ ตรงนี้เราจะเริ่มเห็นการแยกกันระหว่างขันธ์ 5 กับ มรรค (วิญญาณกับสติเป็นคนละอย่างกัน) สติจึงเป็นทักษะที่ฝึกได้ นายทวารที่ฉลาดเขาจะฝึก ซึ่งบางคนฝึกง่าย บางคนฝึกยาก แต่ต้องฝึกทุกคน สติที่ถ้าเราฝึกได้แม้น้อย ๆ แต่มีประโยชน์มหาศาล ใช้ในเรื่องการงานจนถึงกิจการงานเพื่อรื้อถอนสังโยชน์ ขุดรากของกิเลสอวิชชา รื้อถอนภพชาติ เป็นเรื่องของโลกุตระเลย การที่เราตั้งสติเอาไว้จะทำให้มีวิมุตคือความที่มันแยกกันเป็นสัดส่วนดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้ ให้รักษาสติให้ดี ทำให้ได้อยู่อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันในทุกอิริยาบถ สะสมเหมือนรวงผึ้ง เหมือนจอมปลวก จะทำให้มีผลใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่ สติจึงเป็นหนทางอันเอกแห่งทางพ้นทุกข์ได้ แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: เข้าใจทำ (ธรรม) Ep.63 , Ep.43
- 2 จิตตวิเวกสิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้หาจิตเจอ…เพื่อทำความนุ่มนวลอ่อนเหมาะ ทำความเย็นให้เกิดขึ้นที่จิตของเรานั้นต้องมีสัมมาสติ เริ่มด้วยการมาระลึกถึงพุทโธ ๆ ไว้ในใจ เรามาระลึกอยู่กับพุทโธแล้ว นั่นคือเรามีสติแล้ว สติอยู่ที่ไหนจิตเราก็อยู่แถว ๆ นั้น เพราะจิตจะตั้งไว้ได้ด้วยสติ…สติ จิต พุทโธจึงตั้งอยู่ด้วยกัน จิตไม่ได้อยู่ที่การรับรู้ แต่อยู่ตรงที่ว่าเราเอาใจจดจ่อไปที่ไหน การเพ่งจดจ่อเป็นอารมณ์อันเดียวนั่นคือสัมมาสมาธิ จะทำให้จิตนุ่มนวลลง การปรุงแต่งทางกายระงับลง ๆ วจีสังขารระงับลง พุทโธหายไป เหลือแต่จิตตั้งเอาไว้กับสติ เราจะเริ่มเห็นจิต รักษาไว้ให้ดี ให้จิตมีความรู้คือวิชชา เห็นตามความจริงถึงความไม่เที่ยงแม้ในสัมมาสมาธินั้น เกิดขึ้นได้ มีอยู่ได้ หายไปได้ดับไปได้ตามเหตุตามปัจจัย ขันธ์ 5 มีประโยชน์ได้ แยกแยะออกมาให้มีความชัดเจนรอบรู้ว่า มรรคนี้เกิดขึ้นในขันธ์ 5 ต้องทำให้มาก เจริญให้มาก สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่พึ่งขึ้นมาได้ เจริญขึ้นมาได้ เจริญแล้วเอาพุทโธ ธัมโม สังโฆตั้งไว้ดู ไม่ยึดถือ แต่เอาเป็นที่พึ่งให้เกิดสติได้ เป็นที่พึ่งให้เกิดมรรค 8 ได้ จิตของเรามีอยู่คงอยู่ก็อาศัยอาสวะอวิชชา อาศัยความที่มันสืบต่อกันมา จึงตั้งอยู่ การเปลี่ยนแปลงไปได้ตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นในขันธ์ 5 เปลี่ยนแปลงไปได้ตามตัณหาความอยากความยึดไปในลักษณะที่ให้เกิดกุศลหรืออกุศลก็ได้ สิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงได้ ไม่เที่ยง[...]
- 2 จิตตวิเวก…สองอย่างนี้เราต้องปรับ ถ้าบางคนชอบการพิจารณา ให้พิจารณาก่อนแล้วค่อยทำจิตให้สงบ คือการพิจารณาไปในทางที่ถูกแล้ว จิตมันจะสงบเองได้ หรือถ้าพิจารณาไปแล้วเริ่มฟุ้งขึ้น อันนี้ให้เป็นฐานต้องฝืนทำจิตตั้งจิตให้สงบลงให้ได้ มีอันใดอันหนึ่ง ให้เอาตัวที่ตัวเองมีนั่นแหละเป็นพื้นฐาน ฝึกให้ทั้งสองอย่างนั้นมีอยู่ในจิตใจของเรา แยกแยะระหว่างความสงบด้วยส่วนหนึ่ง แยกแยะรู้จักการพิจารณาด้วยส่วนหนึ่ง แยกแยะออกเป็นเบื้องต้นนี้แล้ว เราต้องดูให้เห็น เพิ่มเติมส่วนที่ขาด ตั้งไว้ในส่วนที่มันดี เพิ่มเติมแล้วบางทีมันไม่เสมอกัน ก็ปรับอีก ทำซ้ำไปย้ำมา สลับไปสลับมา มันไม่ได้อยู่นิ่ง เพราะจิตมันมีความกลับกลอก เปลี่ยนแปลงไปตามการรับรู้ เราต้องฝึกมันปรับเปลี่ยนมัน…กลับมาที่ลม แล้วดูคิว ทำสลับไปสลับมา ทำให้มีความชำนาญ ทำให้มีความลึกซึ้งแยบคาย ทำไปเพื่อดัดจิตให้มันตรง เพราะจิตที่ฝึกดีแล้วย่อมเป็นเหตุนำสุขมาให้ ไม่ใช่แค่ความสุขธรรมดา แต่เป็นความสุขที่เกษม เป็นบรมสุข เป็นนิพพานสุข ยุคนัทธกถา [๕๓๘] ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปอย่างไร ฯ ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป ด้วยอาการ ๑๖ คือ ด้วยความเป็นอารมณ์ ๑ ด้วยความเป็นโคจร ๑ ด้วยความละ ๑ ด้วยความสละ ๑ ด้วยความออก ๑ ด้วยความหลีกไป ๑ ด้วยความเป็นธรรมละเอียด[...]
- 2 จิตตวิเวกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน โพธิราชกุมารสูตร (บางส่วน) มีใจความอย่างนี้ว่า “…ก็ความคิดข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ธรรมะที่เราบรรลุแล้วนี้เป็นธรรมะอันลึก สัตว์อื่นเห็นได้ยาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม, เป็นธรรมะระงับและประณีต ไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งลงง่าย ๆ ด้วยความตริตรึก เป็นของละเอียด เป็นวิสัยรู้ได้เฉพาะบัณฑิต, ก็หมู่สัตว์ยุคนี้มีอาลัยเป็นที่ยินดี ยินดีเพลิดเพลินแล้วในอาลัย ก็สำหรับหมู่สัตว์ผู้มีอาลัย คือ ความยึดถือ เป็นที่ยินดี ยินดีเพลิดเพลินในอาลัยนั้น, ยากนักที่จะเห็นปฏิจจสมุปบาทคือ ความที่ธรรมอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น, ยากนักที่จะเห็นธรรมะอันเป็นที่สงบระงับในสังขารทั้งปวง, เป็นธรรมะอันถอนความยึดถือทั้งสิ้น เป็นความสิ้นตัณหา เป็นความคลายกำหนัด เป็นความดับ เป็นความเย็น คือ นิพพาน. หากเราแสดงธรรมแล้วสัตว์อื่นไม่พึงรู้ทั่วถึง ข้อนั้นจักเป็นความเหนื่อยเปล่าแก่เรา, เป็นความลำบากแก่เรา.” ที่ปรารภเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพื่อให้นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายได้ตระหนักรู้ว่า ถ้าเมื่อฟังธรรมแล้วปฏิติธรรมแล้วมันไม่คืบหน้าเลย ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป และกลับรู้สึกท้อแท้ท้อถอย หมดกำลังใจ นี้คือทำไม่ถูก ให้เราเริ่มทำความเข้าใจในประเด็นนี้ใหม่ ด้วยการปรุงแต่งระลึกนึกถึงเอาใจจดจ่อไว้ อยู่กับคำว่า "พุทโธ" …ความไม่ลึกซึ้ง ความไม่แยบคายของเรา จะทำให้พระพุทธเจ้าเหนื่อยเปล่า มีความลำบาก ซึ่งแม้แต่สมาธิในสมาธิขั้นธรรมดา ๆ คนที่ไม่มีความลึกซึ้ง ไม่มีความแยบคาย มันก็ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องทำความลึกซึ้งแยบคายในการปฏิบัติให้ลึกลงไปในรายละเอียดอย่างที่ชาวนาทำกิจที่ควรทำ [...]
- 2 จิตตวิเวกเจริญธัมมานุสสติในอริยสัจสี่ | มีปัญญารู้ชัดถึงกิจที่ควรทำในอริยสัจทั้งสี่ข้อที่แตกต่างกัน ซึ่งทุกข์ต้องกำหนดรู้, ตัณหาต้องละ, นิโรธต้องเป็นสิ่งที่ทำให้แจ้ง และมรรคต้องทำให้เจริญ ปัญญาที่เราต้องแจกแจงพิจารณาใคร่ครวญต่อไปก็คือ เราทำให้มันได้แล้วหรือยัง ในแต่ละขั้น ในแต่ละข้อ ในแต่ละจุด ในแต่ละประเด็น นี้คือ การเจริญธัมมานุสสติ โดยใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญลงมาในธรรมะให้เห็นตามความเป็นจริงในหัวข้ออริยสัจ 4 ดังนี้ ทุกขอริยสัจ: กล่าวโดยย่อ กองขันธ์ 5 อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ (อุปาทาน) เป็นทุกข์ จะกำหนดรู้ได้ก็ต้องมีปัญญามีอภิญญา (ความรู้ที่ยิ่งไปกว่า) ทุกขสมุทยอริยสัจ: เพราะมีตัณหาจึงมีอุปาทาน ตัณหาเป็นตัวเชื่อมระหว่างขันธ์ 5 และอุปาทานความยึดถือ มีอวิชชาเป็นเครื่องปกปิดเอาไว้…ตัณหามีอยู่ในสิ่งใด สิ่งนั้นจึงจะเป็นความทุกข์ของเราได้ ตัณหานี้ใด อันเป็นเครื่องที่ทำให้มีการเก