Q: ทำอย่างไรให้มีอำนาจเหนือจิต
A : ผู้ที่มีอำนาจเหนือจิต คือ “ต้องการตริตรึกเรื่องใดก็ตริตรึกได้ ไม่ต้องการให้ตริตรึกเรื่องใดก็ไม่ตริตรึกได้ ต้องการให้ดำริเรื่องใดก็ดำริได้ ไม่ต้องการดำริเรื่องใดก็ไม่ดำริได้” (ตริตรึก คือ คิดแบบวิตกคือน้อมจิตไปคิด/ดำริคือความคิดที่มันโผล่ขึ้นมาเอง) ลักษณะของจิต เมื่อมันไปอยู่กับสิ่งไหนก็จะเป็นไปตามสิ่งนั้น เราจึงต้องรักษาจิตของเราให้ได้ ด้วยเครื่องมือแห่งสมาธิ 5 ประการ คือ สติและพรหมวิหารสี่ สติจะคอยสังเกตแยกแยะ พรหมวิหารสี่เป็นเครื่องมือของพรหมที่จะทำให้จิตอยู่เหนือโลกที่เป็นกามได้ ลักษณะคือไม่มีเงื่อนไข ไม่มีประมาณ ไม่เว้นใครไว้คือไม่ผูกเวร ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องมาด้วยกัน พอเราไม่มีเงื่อนไข เราทำความดี กิเลสก็จะใช้โอกาสนี้ไม่ได้ บีบคั้นจิตเราไม่ได้ เราก็จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของกิเลส จิตเราก็จะผ่องใส ก็จะทำดีได้โดยไม่มีเงื่อนไข มีอำนาจเหนือจิตได้

Q : น้อมจิตอย่างไรให้กายจิตระงับ?
A : เราต้องตั้งสติมีสติอยู่กับลมหายใจ (ในที่นี้ใช้อานาปานสติ) คอยสังเกตดูเฉย ๆ ไม่ตามไป ตรงไหนเป็นการปรุงแต่งทางกาย เราอย่าเอาจิตไว้ตรงนั้น แต่ให้เอาสติจดจ่อไว้กับลม พยายามทำจิตให้สงบไม่บังคับ พอเราไม่ไปตามการปรุงแต่งทางกาย การปรุงแต่งทางกายก็จะระงับลง ๆ การปรุงแต่งทางจิตก็ทำเช่นเดียวกัน 

Q: “ฌานกับสมาธิ” ถ้าเปรียบเหมือน “สมถะกับวิปัสสนา” ถูกต้องหรือไม่?
A: “สมาธิ” จะใช้ใน 2 บริบท คือ จะใช้กับสมถะหรือจะใช้กับทั้งสมถะและวิปัสสนาก็ได้ (สัมมาทิฎฐิ) “สมถะ” คือความสงบอย่างเดียว (เจาะจงในเรื่องของฌานทั้ง 4) “วิปัสสนา” หมายถึงการเห็นตามความเป็นจริง เห็นการเกิดการดับ ความไม่เที่ยง ทั้งสมถะและวิปัสสนา จะทำให้เกิดวิชชาคือความรู้ และวิมุตคือความหลุดพ้น ถ้าจะเปรียบสมาธิเหมือนกับสมถะวิปัสสนาพอได้อยู่ บางทีสมาธิจะหมายถึงสมถะอย่างเดียวก็มี แต่จะไม่มีปรากฏว่าสมาธิและวิปัสสนา


Tstamp

[05:18] ทำอย่างไรให้มีอำนาจเหนือจิต?
[38:51] น้อมจิตอย่างไรให้กายจิตระงับ?
[51:26] “ฌานกับสมาธิ” ถ้าเปรียบเหมือน “สมถะกับวิปัสสนา” ถูกต้องหรือไม่?