Q1: ผลกรรมจากการสอนธรรมะผิด
A: หลักการ = คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องกลับไปที่แม่บทเสมอ ศาสนาพุทธมีผู้สอนคนเดียว คือ พระพุทธเจ้า คนอื่นสอนไม่ได้ ส่วนครูบาอาจารย์ญาติโยมไม่ใช่ผู้สอน แต่เป็นผู้กล่าวตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ด้วยหลักการนี้จะไม่ถูกหลอกได้ง่าย คำสอนจะไม่ผิดเพี้ยน เป็นการรักษาพระสัทธรรมให้ตั้งอยู่ได้นาน

  • ผู้ฟังธรรมแล้วเอามาเทียบเคียงกับแม่บท ตรวจสอบว่าตรงกับพุทธพจน์บทใด แล้วปฏิบัติตามคำสอน การฟังธรรมนั้นก็จะได้ประโยชน์ แม้ว่าคนสอนจะสอนผิด แต่ถ้าคนฟังปฏิบัติถูก ความถูกต้องก็จะเกิดขึ้นในจิตใจของคนฟังและออกจากสิ่งที่ผิดได้ ซึ่งแนวทางที่ถูกต้อง คือ มรรค 8
  • การกล่าวตู่พระพุทธเจ้า เช่น กล่าวตู่ว่าคำสอนนั้นเป็นของตน ตนเป็นผู้คิดค้นขึ้นใหม่ ทั้งที่เอามาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า กล่าวตู่ว่าพระพุทธเจ้ากล่าวไว้ ทั้งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวไว้ กล่าวตู่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวไว้ ทั้งที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้
  • ผู้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ได้รับผลกรรมแน่นอน มากน้อยแล้วแต่เจตนา
  • ทั้งนี้ เราไม่ควรมองกันด้วยสายตาที่คิดร้ายต่อกัน หากเขาทำผิดพลาดก็ควรชี้แนะบอกให้แก้ไขปรับปรุงให้ไปในทางที่ดีได้

Q2: ความรู้ถึงขั้นแสดงธรรมได้
A: คำสอนของพระพุทธเจ้ามีทุกระดับ เราสามารถเข้าถึงได้ในระดับที่เราอยู่ ตรงไหนที่เข้าใจและปฏิบัติได้ก็เอาตรงนั้นก่อน เพื่อเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติในระดับต่อ ๆ ไป

Q3: ทำบุญปีใหม่
A: บุญมากที่สุด คือ ทำให้เกิด “ปัญญา”

  • วิธีที่ 1 ให้ทาน (ใช้สิ่งของ)
    เช่น การใส่บาตร ให้ทาน โดยไม่ยึดถือหรือหวังในผล แต่หวังให้เกิดความบริสุทธิ์ทางใจ คือ ให้การให้ทานนั้นเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้เกิดสมถวิปัสสนา โดยตั้งจิตเพื่อการสละออกซึ่งสิ่งของ ความตระหนี่ ความหวงกั้น ทำเพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การตั้งจิตแบบนี้จะเกิดปัญญาจากการให้ทานได้
  • วิธีที่ 2 รักษาศีล (ใช้ร่างกาย)
  • วิธีที่ 3 ภาวนา (ใช้จิตใจ)
    เช่น ทบทวนตนเองในรอบปี ด้านอกุศลธรรมเพิ่มขึ้นหรือไม่ ที่มีอยู่จะปิดกั้นป้องกันได้อย่างไร ด้านกุศลธรรมเพิ่มขึ้นหรือไม่ ที่มีอยู่จะพัฒนาให้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร หากไตร่ตรองได้ ปัญญาก็จะเกิด แล้ววางแผนต่อไปว่าปีใหม่จะทำกุศลธรรมให้เพิ่ม สร้างนิสัยใหม่ที่ดีอย่างไร

Q4: อิริยาบถในการทำสมาธิ
A: ถ้าจิตไม่มีความกำหนัดในกาม ความง่วงซึม ความฟุ้งซ่าน ความเคลือบแคลงเห็นแย้ง ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ที่ใด ที่นั่นก็เป็นทิพย์

Q5: คนรุ่นใหม่ยากจนกว่าคนรุ่นก่อน
A: เหตุแห่งการมีโภคทรัพย์ คือ มีการให้ทานมาก่อน

  • การให้ผลของกรรมดีกรรมชั่วเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น อาหารทิพย์หรือไฟนรก ไม่อาจให้ผลในโลกมนุษย์ได้
  • หากในโลกมีคนทำดีน้อย ความชั่วมาก การให้ผลของกรรมก็จะผิดเพี้ยนไปตามกิเลสของมนุษย์ เศรษฐกิจของโลกไม่ดี การให้ผลด้านโภคทรัพย์ก็จะได้ไม่เต็มที่

Q6: การกล่าวถึงคุณวิเศษ
A: อุตตริมนุสสธรรม = คุณวิเศษขั้นสมาธิขึ้นไปจนถึงปัญญาที่เหนือมนุษย์ เช่น ได้ฌานขั้นสูง อ่านจิตผู้อื่น เหาะเหินเดินอากาศ

  1. กรณีพูดถึงคุณวิเศษของตนเอง
  • หากไม่มีจริง แต่บอกว่ามี เพื่อให้คนอื่นเชื่อว่าตนเองมี = ผิดขั้นปาราชิก
  • หากไม่มีจริง แต่เข้าใจว่ามี = ไม่ผิด
  • หากมีจริง พูดว่ามี แต่ไม่ได้แสดง = ผิดเบา ๆ

2. กรณีพูดถึงคุณวิเศษของผู้อื่น เพื่อให้เกิดลาภสักการะกับผู้อื่น

    • พระพุทธเจ้าเตือนว่าไม่ดี เป็นมหาโจรในระดับที่หลอกได้ทั้งเทวดาจนถึงพรหม
      โดยสรุป :
    • ปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า ให้ค้นพบด้วยตนเอง หากจะพูดก็ให้พูดในหลักธรรมที่ไม่น้อมเข้าสู่ตัว
    • ให้ยกย่องครูบาอาจารย์ในเหตุที่ท่านทำ เช่น มีศีล ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่าไปยกย่องที่ผล
    • ความมักน้อย = ไม่ต้องการให้คนอื่นมารู้ถึงความดีของเรา

    Q7: อยากให้ลูกเกิดมาเป็นคนดี
    A: หน้าที่ของพ่อแม่ คือ ให้ลูกตั้งอยู่ในความดี ห้ามเสียจากบาป ให้ศึกษาศิลปวิทยา มอบมรดกให้ตามสมควร หาคู่ครองให้เมื่อสมควร

    • วิธีสอนลูก ต้องไม่ใช่ด้วยการทำไม่ดีหรือทำบาป และอย่าโยนหน้าที่นี้ให้ครู
    • และต้องไม่ยึดถือมาก หากเกินขอบเขตจะกลายเป็นพ่อแม่รังแกฉัน

    Q8: การพูดจาหยอกล้อกับญาติโยม
    A: พระพุทธเจ้ากำหนดว่า “จะไม่พูดจาหยอกล้อเพื่อให้หัวเราะกันเล่น”

    • การเทศน์ให้จิตใจญาติโยมเกิดความร่าเริง ชื่นมื่น แจ่มใส มีกำลัง มีความเบิกบาน ได้ แต่ไม่ควรเกินไปถึงขั้นหัวเราะกันเล่น

    Tstamp

    [00:50] ผลกรรมจากการสอนธรรมะผิด
    [12:20] ความรู้ถึงขั้นแสดงธรรมได้
    [16:54] ทำบุญปีใหม่
    [23:55] อิริยาบถในการทำสมาธิ
    [27:50] คนรุ่นใหม่ยากจนกว่าคนรุ่นก่อน
    [31:45] คุณวิเศษ
    [40:00] อยากให้ลูกเป็นคนดี
    [47:09] พูดจาหยอกล้อกับญาติโยม
    [49:20] PR งานธรรมะรับอรุณพบผู้ฟัง