ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่าให้พึ่งตน พึ่งธรรมนั้น หมายถึง พึ่งธรรมของพระองค์

ในตอนนี้จึงจะยกธรรมเป็นที่พึ่ง หรือคุณธรรมที่ทำให้ตนเป็นที่พึ่งของตนได้

คือนาถกรณธรรม 10 ประการ มากล่าว ดังนี้

  1. ศีล คือ ความประพฤติดีงามสุจริต รักษาระเบียบวินัย ผู้มีศีลถือว่าเป็นผู้มีที่พึ่งแล้ว
  2. พาหุสัจจะ คือ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก มีความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งในธรรม
  3. กัลยาณมิตตตา คือ ความมีกัลยาณมิตร, การคบเพื่อนดี หากแม้หาเพื่อนที่ดีไม่ได้ มรรค8 เป็นกัลยาณมิตรได้
  4. โสวจัสสตา ความเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย รับฟังเหตุผล
  5. กิงกรณีเยสุ ทักขตา ความเอาใจใส่ช่วยขวนขวายในกิจใหญ่น้อยทุกอย่างของเพื่อนร่วมหมู่คณะ รู้จักพิจารณาไตร่ตรอง สามารถจัดทำให้สำเร็จเรียบร้อย
  6. ธัมมกามตา ความเป็นผู้ใคร่ธรรม คือ รักธรรม ใฝ่ความรู้ใฝ่ความจริง รู้จักพูดรู้จักฟัง ทำให้เกิดความพอใจ น่าร่วมปรึกษาสนทนา ชอบศึกษา ยินดีพอใจมีความปราโมทย์ในหลักธรรมหลักวินัยที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป
  7. วิริยารัมภะ ความขยันหมั่นเพียร คือ เพียรละความชั่ว ประกอบความดีมีใจแกล้วกล้าที่จะทำความดี กล้าที่จะลงมือทำในสิ่งดีๆ ปรารภความเพียรและไม่ทอดทิ้งธุระ
  8. สันตุฏฐี ความสันโดษ คือ ยินดี มีความสุขความพอใจด้วยปัจจัย 4 ที่หามาได้ด้วยความเพียรอันชอบธรรมของตน มีลักษณะ 3 อย่างคือ ยถาลาภสันโดษ คือความสันโดษตามมีตามได้ ได้มาอย่างไรก็พอใจอย่างนั้น , ยถาพลสันโดษคือความสันโดษตามกำลังในสิ่งที่ควรจะใช้, ยถาสารุปปสันโดษคือ รู้จักพอเป็น อิ่มเป็น และแบ่งปันส่วนที่เกินเลยไปเอื้อเฟื้อผู้อื่นตามสมควร
  9. สติ คือเป็นผู้ความมีสติ เป็นผู้ระลึกการที่ทำคำที่พูดไว้แม้นานได้ คือไม่ให้เพลินไป ไม่ให้เผลอไป ไม่ประมาทไป ตามผัสสะต่างๆที่มากระทบ
  10. ปัญญา ความมีปัญญาหยั่งรู้เหตุผล รู้จักคิดพิจารณา มีปัญญาที่จะกำจัดกิเลส เข้าใจภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง

นาถกรณธรรมนี้ เป็นธรรมมีอุปการะมาก เพราะเป็นกำลังหนุนในการบำเพ็ญคุณธรรมต่างๆ ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จได้อย่างกว้างขวาง


Timestamp
[00:34] ปฏิบัติภาวนา เจริญอานาปานสติ
[05:10] นาถกรณธรรม 10 ประการ
[10:34] ศีล ความประพฤติดีงามสุจริต
[12:36] พาหุสัจจะ
[18:35] กัลยาณมิตตตา
[22:17] โสวจัสสตา
[28:40] กิงกรณีเยสุ ทักขตา
[29:32] วิริยารัมภะ
[35:30] ธัมมกาโม
[39:38] สันตุฏฐี
[48:15] สติ
[50:54] ปัญญา