Q1: ความอยากได้เงินเพิ่ม เพื่อนำไปทำบุญเพิ่มอีก เป็นความโลภหรือไม่

A: ความอยากได้เงินเพิ่มเพื่อนำไปทำบุญเพิ่มอีก จะทำให้บุญที่ทำในครั้งนั้นเศร้าหมองลง

– การระลึกถึงบุญจากการทำทาน เป็นจาคานุสติ เกิดเป็นความสุขใจ แต่เมื่อเกิดความอยากได้เงินเพิ่มเพื่อนำไปทำทานเพิ่มอีก จะทำให้บุญนั้นเศร้าหมองลง ในขณะเดียวกัน ความคิดที่ว่าจะทำบุญเพิ่มอีก ก็เกิดสภาวะจิตสุขใจ เป็นบุญ ดังนั้น จึงเกิดสภาวะจิตที่เป็นบุญบ้าง สุขใจบ้าง เศร้าหมองบ้าง ปะปนกัน สลับกันไป

– วิธีที่ถูกต้อง คือ รักษาสภาวะจิตให้อยู่ในแดนของบุญมาก ๆ ด้วยการภาวนา ซึ่งเป็นบุญที่เหนือกว่าการให้ทาน จึงจะถูกต้อง นอกจากการให้ทานแล้ว ควรยินดีในการรักษาศีล เจริญภาวนาด้วย จึงจะได้บุญเต็มในทุกรูปแบบ

Q2: หากมีบุญมากกว่าบาป เมื่อตายแล้วจะไปสวรรค์ได้เลยหรือไม่

A: ขึ้นอยู่กับว่าในขณะที่ตาย บุญหรือบาปให้ผลก่อนกัน ไม่ใช่ว่าบุญหรือบาปน้อยกว่ากัน

Q3: พิธีแก้กรรม

A: ในทางพระพุทธศาสนา ไม่มีคำว่า “แก้กรรม” มีแต่ “ต้องได้รับผลของกรรม” “ความสิ้นกรรม” “กรรมหนักกรรมเบา”

– การเจริญพุทธมนต์ เป็นการฟังบทสวดที่เป็นพุทธวจนของพระพุทธเจ้า การฟังธรรมได้บุญ

– พระพุทธเจ้าสอนว่า “ถ้าใครจะสำเร็จอะไรได้ด้วยการอ้อนวอนขอร้อง ในโลกนี้จะไม่มีใครเสื่อมจากอะไร” เช่น จะไม่มีคนป่วยหรือคนตาย ดังนั้น สิ่งใดจะสำเร็จขึ้นได้ด้วยการอ้อนวอนขอร้อง จึงเป็นความเข้าใจผิด

– ความเข้าใจที่ถูก (สัมมาทิฏฐิ) คือ กรรมดีให้ผล กรรมชั่วให้ผล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว พุทธคุณมี สังฆคุณมี การพ้นทุกข์มี การคิดดีพูดดีทำดีจะได้รับผลดี

– โดยสรุป การเข้าร่วมพิธีกรรมใดก็ตาม ให้ตั้งจิตไว้ให้ถูก โดยตั้งจิตไว้ในกุศล ประกอบด้วยปัญญา ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า การแก้กรรมไม่มี แต่เพิ่มปริมาณกรรมดีได้ ด้วยการฟังบทสวดเจริญพุทธมนต์ ด้วยการคิดดีพูดดีทำดี ตั้งจิตไว้ถูก ปราศจากความงมงาย ไม่อ้อนวอนขอร้อง อย่างนี้สามารถเข้าร่วมพิธีกรรมได้

Q4: ที่พึ่งในยามเจออุปสรรคในชีวิต ที่ไม่ใช่พิธีแก้กรรม

A: ที่พึ่งที่ถูกต้องคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และประกอบด้วย ปัญญาของตน เรียกว่า “พึ่งตน-พึ่งธรรม”

– พระพุทธเจ้าทรงชี้ทางสว่างไว้ว่า “เมื่อเจอความทุกข์ ให้มีสติสัมปชัญญะ ให้อดทน ให้อยู่กับทุกข์ให้ได้ และกำจัดตัณหาที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์นั้น” นี่เป็นปัญญา ช่วยลดความงมงาย สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงได้ จนไปถึงนิพพานได้เลย

– ถ้าสร้างเหตุที่ถูกต้องแล้ว การมูเตลูก็ไม่จำเป็น หากยังมูเตลูอยู่ แสดงว่ายังไม่มีความมั่นใจ

Q5: ผลจากการให้ทาน รักษาศีล แต่ไม่ได้ภาวนา

A: การให้ทาน รักษาศีล ก็จะแก้ทุกข์ได้เฉพาะที่การให้ทาน รักษาศีล แก้ได้ ส่วนทุกข์ที่ต้องแก้ด้วยการภาวนา ก็จะไม่ได้

– การภาวนา คือ การพัฒนาจิต ทำความเข้าใจ ปรับทิฏฐิ คิดเป็นระบบ (โยนิโสมนนิการ) ตามระบบของอริยสัจ 4 หากภาวนาแล้วจิตสงบ ก็จะเป็นปัญญาให้เกิดความเข้าใจ ปล่อยวางได้ ภาวนาจะเป็นตัวแก้ทุกข์ทางใจได้ทั้งหมด

Q6: เนื้อคู่มีจริงหรือไม่

A: คนที่ชอบกัน เป็นเพราะความเกื้อกูลกันที่มีมาในปางก่อน หรือในปัจจุบัน

– เนื้อคู่ในชาติปางก่อน อาจมีหรือไม่มีก็ได้ อาจจะเจอกันหรือไม่เจอกันก็ได้ เพราะเกิดกันคนละภพภูมิ คนละช่วงเวลา

– หากคิดจะครองเรือน การดูเนื้อคู่ ให้ดูในปัจจุบันโดยไม่ต้องอ้อนวอนขอร้องจากใครเลย คือ ตรวจสอบว่ามีศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญา เสมอกันหรือไม่ ถ้าเสมอกันก็จะอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุข


Tstamp

[01:00] อยากได้เงินเพิ่มเพื่อมาทำบุญ
[07:26] บุญมากกว่าบาป ไปสวรรค์ได้เลยหรือไม่
[16:45] พิธีแก้กรรม
[24:45] ที่พึ่งอื่นที่ไม่ใช่พิธีแก้กรรม
[40:02] ให้ทาน รักษาศีล แต่ไม่ได้ภาวนา
[49:15] เนื้อคู่มีจริงหรือไม่