“ปฏิจจสมุปบาท” ธรรมอันเป็นธรรมชาติที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น คือ

เป็น ตถตา คือ ความเป็นอย่างนั้น,

เป็น อวิตถตา คือ ความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น,

เป็น อนัญญถตา คือ ความไม่เป็นไปโดยประการอื่น,

เป็น อิทัปปัจจยตา คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น

อาการของปฏิจจสมุปบาทแต่ละอาการ :-

“เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป และเพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ”

วิญญาณ คือ การเข้าไปรับรู้การกระทบกันของสฬายตนะ

เปรียบกับไม้อ้อสองกำเอามาพิงกันเอาไว้ เมื่อหยิบกำหนึ่งออกย่อมตั้งอยู่ไม่ได้, เปรียบกับการตกกระทบของแสงกับวัถตุ ที่เมื่อแสงตกกระทบกับวัตถุย่อมเห็นว่ามีแสงและวัตถุ, เปรียบกับกฏของ Quantum mind คือ สิ่ง ๆ เดียวเป็นได้หลายสภาวะอยู่ที่เราจะสังเกตุมองมุมไหน วิญญาณ คือ ผู้สังเกตุ

“เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ และเพราะสังขารดับ วิญาณจึงดับ”

สังขาร คือ การปรุงแต่งทางกาย วาจา ใจ

“เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร และเพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ”

อวิชชา คือ ความไม่รู้

ฟัง “ปฏิจจสมุปบาท–ธรรมที่อาศัยกัน (ตอนที่ 3)”


Timeline

[00:19] ปฏิบัติภาวนา เจริญอานาปานสติ
[08:55] เพราะมีผัสสะ จึงมีเวทนา
[30:08] เพราะมีนามรูป จึงมีสฬายตนะ
[31:04] เพราะมีวิญญาณ จึงมีนามรูป
[41:54] เพราะมีสังขาร จึงมีวิญญาณ
[45:36] เพราะมีอวิชชา จึงมีสังขาร
[54:20] อวิชชา คือ ความไม่รู้ อยู่ 2 ระดับ