สูตร#1 วาเสฏฐสูตร ทรงแสดงแก่มาณพชื่อ วาเสฎฐะผู้เป็นศิษย์ของโปกชรสาติพราหมณ์ และภารทวาชะผู้เป็นศิษย์ของตารุกขพราหมณ์ ขณะประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคละใกล้หมู่บ้านชื่ออิจฉานังคละ มาณพทั้งสองได้สนทนากันเรื่องเหตุที่ทำให้ชื่อว่าเป็นพราหมณ์ แต่ตกลงกันไม่ได้จึงเข้าไปทูลถามพระผู้มีพระภาค โดยวาเสฏฐมาณพเป็นผู้ทูลถามว่า บุคคลจะชื่อว่าเป็นพราหมณ์ เพราะชาติกำเนิด หรือเพราะกรรม ทรงตรัสอธิบายว่า ต้นไม้และสัตว์ต่าง ๆ แตกต่างกันไปตามกำเนิด แต่มนุษย์ไม่แตกต่างกันโดยกำเนิด การเรียกกันในหมู่มนุษย์เป็นการเรียกกันตามบัญญัติ มนุษย์จึงไมใช่พราหมณ์เพราะกำเนิด (ชาติตระกูล) แต่เป็นพราหมณ์เพราะกรรม จากนั้นได้ตรัสถึงคุณสมบัติอีกหลายประการของผู้เป็นพราหมณ์ในพระพุทธศาสนา และทรงตรัสว่า ตบะ พรหมจรรย์ สัญญมะ และทมะ เป็นคุณธรรมสูงสุดของพราหมณ์ แต่ถ้าบุคคลใด ถึงพร้อมด้วยวิชชา 3 เป็นผู้สงบ สิ้นภพใหม่แล้ว บุคคลนั้นเป็นทั้งพรหมและท้าวสักกะ เมื่อทรงแสดงธรรมจบมาณพทั้งสองแสดงตนเป็นอุบาสกจนตลอดชีวิต

สูตร#2 เอสุการีสูตร ทรงแสดงแก่เอสุการีพราหมณ์ ณ เชตวัน เอสุการีทูลถามข้อบัญญัติเกี่ยวกับการบำเรอ 4 ประการของพวกพราหมณ์ และเกี่ยวกับทรัพย์ 4 ประการของพวกพราหมณ์ ทรงตรัสว่าเป็นการบัญญัติเอาเองโดยที่ชาวโลกไม่ยอมรับ เหมือนการบังคับคนยากจนให้กินเนื้ออาบยาพิษแล้วบังคับให้จ่ายค่าเนื้อ ทรงอธิบายต่อว่า บุคคลจะเป็นผู้ประเสริฐหรือเลวทรามไม่ใช่เพราะเกิดในตระกูลสูง ผิวพรรณดี มีโภคะมาก แต่อยู่ที่ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา ในเรื่องของทรัพย์ทรงบัญญัติว่า ทรัพย์ของบุคคล คือ โลกุตตรธรรมอันเป็นอริยะ เพราะไม่ว่าบุคคลจะเกิดในตระกูลกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็สามารถออกบวช เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เป็นต้น ได้เหมือนกัน เจริญเมตตาจิต อาบน้ำลอยละอองธุลีได้เหมือนกัน เมื่อเอาไม้มาสีให้เกิดเป็นไฟก็เป็นไฟเหมือนกัน เมื่อทรงแสดงจบเอสุการีพราหมณ์ได้แสดงตนเป็นอุบาสกตลอดชีวิต

อ่าน “วาเสฏฐสูตร ว่าด้วยมาณพชื่อวาเสฏฐะ” พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์

อ่าน “เอสุการีสูตร ว่าด้วยพราหมณ์ชื่อเอสุการี” พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์


Timeline

[03:36] วาเสฏฐสูตร ว่าด้วยมาณพชื่อวาเสฎฐะ
[26:26] เอสุการีสูตร เรื่องเอสุการีพราหมณ์