เจริญอานาปานสติ คือ เพื่อให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญา

พิจารณาสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยกาย คือ ปัจจัยสี่, อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค นั้นเป็นไปตามธรรมชาติของเขา, 

ให้เห็นว่า “ธาตุมัตตะโก คือ สักว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ, ธาตุมัตตะเมเวตัง คือ เป็นของมันอยู่อย่างนี้ มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนี้, ยะถาปัจจะยัง คือ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันอยู่แล้ว, นิสสัตโต ไม่ได้เป็นสัตวะอะไรที่ยั่งยืน, นิชชีโว ไม่ได้เป็นชีวะอันเป็นบุรุษบุคคล ตัวตนเราเขา, สุญโญ ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน”

พิจารณาปัจจัยสี่ อาหาร ยา ที่ทานเข้าไป ไม่มีชีวิต, ก็เป็นเพียงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุ ธาตุรู้, ถูกย่อยแล้วไปเสริมให้กายเราคงอยู่ได้ชั่วคราว คือ นิสสัตโต ไม่ได้เป็นอะไรที่ยั่งยืน, เป็นนิชชีโว ไม่ใช่เป็นตัวตน แต่อยู่ชั่วคราวตามเงื่อนไขปัจจัย, เป็นอย่างนี้ ด้วยความเป็นธาตุของเขาตามธรรมชาติ คือธาตุมัตตะโก, พิจารณาเจาะลึกเข้าไปถึงระดับโมเลกุล จะมีช่องว่างอยู่เต็มไปหมด, เป็นสุญโญคือว่างเปล่า ไม่ได้เป็นตัวตน,

พิจารณาซ้ำๆ ย้ำๆ ตามแนวทางของอริยสัจสี่ อริยมรรคมีองค์แปด ตามความจริงที่ปรากฏขึ้น จะเกิดปัญญาในขั้นโลกุตระ, พิจารณาธาตุสี่ ปัจจัยสี่ ให้เห็นถึงความไม่ใช่ตัวตน, เพื่อเกิดปัญญาปล่อยวางกายนี้ได้.


Timeline

[00:01] พิจารณาปัจจัย 4 โดยความเป็นธาตุ ผ่านอานาปานสติ
[35:43] พิจารณาสักแต่ว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ
[36:16] สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยกายก็คือปัจจัยสี่
[39:21] ธาตุมัตตโก เป็นธาตุตามธรรมชาติ ธาตุมัตตะเมเวตัง เป็นของมันอยู่อย่างนี้ ยะถาปัจจะยัง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย นิสสัตโต ไม่ได้เป็นสัตว์ที่ยั่งยืน นิชชีโว ไม่ได้เป็นชีวะอันเป็นบุรุษบุคคล สุญโญ ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน
[53:11] สรุปย้ำลงมาในกาย ไม่ควรยึดถือสุขจากสิ่งที่เป็นทุกข์