Q : ที่มาของ “ข้าวก้นบาตรพระ”

A : คือ อาหารที่เหลือจากการพิจารณาของพระสงฆ์ เป็นอาหารที่พระได้มาจากสัมมาอาชีวะ จากการบิณฑบาตด้วยปลีแข้งของตน เป็นอาหารที่เกิดจากบุญ จากศรัทธาของผู้นำมาถวาย จากผู้รับคือพระสงฆ์ ที่มี ราคะ โทสะ โมหะ น้อย พิจารณาแล้วจึงบริโภค อาหารนี้จึงเป็นอาหารทิพย์

Q : รักษาจิตด้วย อัปปมัญญา, พรหมวิหารและทิศทั้ง 6

A : อัปปมัญญา คือ การพ้นที่อาศัยพรหมวิหาร คือมี เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา

“เมตตาเจโตวิมุต” คือ ความหลุดพ้นแห่งจิตที่อาศัยเมตตา จะกำจัดความพยาบาทได้ จะมีผลคือ “สุภวิโมกข์” (ความสุขที่หลุดพ้น สุขที่อยู่ภายใน) 

“กรุณาเจโตวิมุต” คือ ความหลุดพ้นแห่งจิตที่อาศัยกรุณา จะกำจัดความเบียดเบียน คิดให้เค้าได้ไม่ดี ในจิตใจของเรา

“มุทิตาเจโตวิมุต” คือ ความหลุดพ้นแห่งจิตที่อาศัยมุทิตา จะกำจัดความไม่ยินดีในความสำเร็จของเขาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีในจิตใจของเรา ให้ออกไป

“อุเบกขาเจโตวิมุต” คือ ความหลุดพ้นแห่งจิตที่อาศัยอุเบกขา จะกำจัดราคะในจิตใจของเราออกไป ถ้าเขาได้ไม่ดี ให้เราวางเฉยเสีย ให้อุเบกขากับทุกคน ไม่ว่าจะรักเราหรือจะเกลียดเรา

เจริญโดย ให้แบบไม่คิดว่าจะหมด ให้ทุกคน ไม่เว้น ให้ทุกทิศทุกทาง(ทิศทั้ง6) เสมอหน้ากัน

Q : พรหมวิหาร 4 ของศาสนาพุทธ ต่างจากศาสนาอื่นอย่างไร ?

A : คือการเจริญพรหมวิหาร 4 ที่ประกอบไปด้วยกับโพชฌงค์ 7 

Q : ผลของการเจริญพรหมวิหาร 4 ที่ประกอบด้วยโพชฌงค์ 7

A : ผลของการเจริญเมตตาเจโตวิมุต คือ จะมี “สุภวิโมกข์” (ความสุขที่หลุดพ้น ความสุขที่อยู่ภายใน) เป็นอย่างยิ่ง ผลของกรุณา คือ จะทำให้เกิด “อากาสานัญจายตนะ” จะละปฏิฆะสัญญาได้ ผลของมุทิตา คือ จะทำให้เกิด

“วิญญานัญจายตนะ” ผลของอุเบกขา คือ จะทำให้เข้าสู่ “อากิญจัญญายตนะ” ซึ่ง การเจริญเช่นนี้ มีผล มีอานิสงค์ คือ จะละธรรมะที่เป็นเสี้ยนหนาม 4 ประการนั้นได้นั่นเอง  


Timeline

[03:35] ที่มาของ “ข้าวก้นบาตรพระ”
[23:12] รักษาจิตด้วย อัปปมัญญา พรหมวิหาร และทิศทั้ง 6
[50:15] พรหมวิหาร4 ของศาสนาพุทธ ต่างจากศาสนาอื่นอย่างไร ?
[51:20] ผลของการเจริญพรหมวิหาร 4 ที่ประกอบด้วยโพชฌงค์ 7