กว่าจะได้ทองคำเนื้อดี ต้องผ่านกระบวนการหลายอย่าง จิตเราก็เช่นกัน จะเป็นจิตที่อ่อนเหมาะควรแก่การงานได้ ศีล จึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ชำระอุปกิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นความทุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อมีศีลมาอบรมกายวาจาใจให้สูงแล้ว ก็จะมีความไม่ร้อนใจ (อวิปปฏิสาร) เป็นอานิสงส์

พอมีศีลแล้ว เราจะเห็นว่าบางครั้งจิตยังคิดเรื่องไม่ดีที่เป็นไปในทางกาม พยาบาท เบียดเบียน เป็นเครื่องเศร้าหมองอย่างกลาง จะชำระได้ก็ด้วยสติสัมปชัญญะ พอมีสติจะแยกแยะได้ มีอะไรมากระทบก็ไม่ตามไป กลับมาที่พุทโธ เหมือนการผูกสัตว์ทั้ง 6 ชนิดไว้กับเสา ผลของการมีสติก็คือสมาธิ  

จิตที่มีสมาธิจะก่อให้เกิดปัญญาใช้ชำระอุปกิเลสอย่างละเอียด คือ อาสวะที่เป็นส่วนแห่งบุญได้ เป็นความยึดถือที่ละเอียด เกาะอยู่ที่จิต จะกำจัดอุปกิเลสอย่างละเอียดได้ ไม่ใช่ไม่ทำบุญ เพราะคำสอนคือละบาป สร้างกุศล และทำจิตให้บริสุทธิ์  ดังนั้น ยิ่งต้องทำทาน ศีล ภาวนา เพราะว่าส่วนที่จะทำจิตให้บริสุทธิ์ จะเห็นได้เข้าใจได้ เราต้องมีบุญ บุญนี้จะทำให้เราเหนือบุญได้ จะอยู่เหนือบุญได้ก็ต้องละบุญ จะละบุญได้ก็ขึ้นอยู่ที่จิตของเรา เพราะว่าบุญและบาปนั้นเกาะอยู่ที่จิต จะละบาปได้ต้องไม่ทำมัน แต่บุญท่านให้ทำ ให้สร้าง ให้ปฏิบัติ เราก็ทำ สร้าง ปฏิบัติ แต่ไม่ยึดถือ

ความยึดถือนี้ ยึดถือที่จิต จิตนี้เดี๋ยวตกอยู่ในอำนาจของบุญบ้าง อยู่ในอำนาจของบาปบ้าง มีความไม่เที่ยง แปรปรวนได้ตามเหตุตามปัจจัย จึงไม่ควรเข้าไปยึดถือว่าจิตเป็นตัวเราของเรา จะละความยึดถือในสิ่งนั้นได้ ต้องมีความหน่ายในสิ่งนั้นก่อน ต้องเห็นจิตตามความเป็นจริง เครื่องมือที่จะใช้กำจัดอุปกิเลสอย่างละเอียดได้คือวิปัสสนา ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นความดับเย็นคือนิพพาน

แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ #การปฏิบัติที่เป็นไปตามลำดับเปรียบกับการผลิตทองคำ