00:00
1X
Sorry, no results.
Please try another keyword
- 3 ใต้ร่มโพธิบทเจาะลึกลงมาจากเรื่องของขันธ์ 5 สามารถอธิบายแจกแจงเห็นได้ชัดเจนลงมาอีกในเรื่องของ "สฬายตนะ" คือ อายตนะภายในและภายนอกทั้ง 6 โดยแยกรูป แยกสังขาร (การปรุงแต่ง) อธิบายในลักษณะที่เป็นช่องทางของการรับรู้ โดยได้อธิบายแต่ละอายตนะโดยรายละเอียด เวลาที่เราอธิบายอายตนะอันใดอันหนึ่ง ก็ต้องมีทั้งภายนอกและภายใน พอมีช่องทางที่มันกระทบถูกต้องแล้วก็จะเกิดการรับรู้เกิดขึ้นในช่องทางใจ (มโน) การรับรู้นั่นเรียกว่า “วิญญาณ”…อินทรีย์จึงมีใจเป็นที่แล่นไปสู่ “ใจ” ตรงนี้จึงเป็นที่รวบลงของสิ่งต่าง ๆ เริ่มเป็นนามธรรมเกิดขึ้น มีผัสสะเกิดขึ้นต่อกันและต่อกันไป มีการรับรู้ทางใจ (มโนวิญญาณ) เกิดเป็น “เวทนา” (ความรู้สึกเป็นทุกข์, เป็นสุข, อทุกขมสุข) แยกแยะช่องทางการรับรู้ได้ 18 อย่าง ซึ่งในแต่ละอย่าง ๆ ท่านพระสารีบุตรกล่าวไว้กับท่านพระมหาโกฏฐิตะ ใน โกฏฐิกสูตร ว่า เหล่านี้เป็นของที่เกาะเกี่ยวเนื่องกันอยู่ แต่ไม่ใช่ของอย่างเดียวกัน…ความคิดที่เป็นวิตกวิจารในเรื่องต่าง ๆ ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ คิดนึกปรุงแต่งนั่นนี่ กับ ใจ มันเป็นคนละอย่างกัน และยังเป็นคนละอย่างกันกับการรับรู้ด้วย สิ่งที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ไม่ได้ก็คือ การที่เราเห็นว่ามันเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของกันและกันอยู่ ก็เพราะความรักใคร่พอใจที่อาศัยอะไรเกิดขึ้น มันก็เกาะเกี่ยวกันเลยตรงนั้น ถ้าเรายังเห็นว่ามันแยกจากกันไม่ได้ ความคิดนี้ ไม่ถูกต้อง เป็นมิจฉาทิฏฐิ…แต่ถ้าตัดความรักใคร่พอใจออกไปได้ มันจะไม่ไปต่อ มันแยกจากกัน มันสืบเนื่องต่อกันไปไม่ได้ ความสิ้นทุกข์โดยชอบจึงปรากฎขึ้นได้ เพราะอาศัยเหตุปัจจัยคือการประพฤติการปฏิบัติที่สมควรแก่ธรรม “…เหมือนโคดำและโคขาวที่ถูกผูกอยู่ด้วยเชือกเส้นเดียวกัน แต่เป็นคนละตัวกัน[...]