Q: คำถามเกี่ยวกับเรื่องมิจฉาอาชีวะ ที่กำลังดำเนินไปภายในพรรคการเมืองหลายพรรคในซึ่งนักการเมืองไทยส่วนใหญ่กำลังตกอยู่ในมิจฉาทิฏฐิใช่หรือไม่ และจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร ที่จะเปลี่ยนนักการเมืองที่มีมิจฉาอาชีวะมาเป็นสัมมาอาชีวะ

สัมมาคือสลัดแอก เป็นการสลัดละตัณหา กิเลส และอวิชชาให้ลดลงหรือเบาบางลง ในทางตรงกันข้าม มิจฉา คือ การเพิ่มพูนกิเลสให้มากขึ้น ดังนั้น “สัมมาอาชีวะ” จึงหมายถึง การดำเนินชีพหรือมีความเป็นอยู่ทางกาย วาจา และใจอย่างเป็นปกติ โดยมีองค์ธรรมนำหน้าคือ สัมมาทิฏฐิ ที่จะเป็นตัวแยกแยะและกำหนดได้ว่า การดำเนินชีพที่เรากำลังกระทำอยู่เป็นสัมมาอาชีวะหรือมิจฉาอาชีวะ

การลงมือกระทำหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสติและความเพียร (วิริยะ) กล่าวคือ หากด้านสัมมามีกำลังมากกว่ามิจฉา ก็จะทำให้เกิดการกระทำไปในทางที่ดีและเป็นไปเพื่อกุศลธรรม แต่ในทางกลับกันหากด้านมิจฉามีกำลังมากกว่า ก็จะทำให้เกิดการกระทำไปในทางที่ไม่ดีไม่งามและเป็นไปเพื่ออกุศลธรรมได้ การพัฒนาจึงต้องเริ่มจากปัญญาที่มองเห็นโทษในสิ่งไม่ดี และควรจะมีผู้ชี้นำบอกสอนเป็นกัลยาณมิตร

นักการเมือง เป็นผู้ที่มีกำลังทั้งในรูปแบบของอำนาจและเงิน สามารถทำงานเพื่อผู้อื่นและช่วยเหลือคนอื่นได้ เพราะมีความดีอยู่ในใจอยู่แล้ว ที่สำคัญต้องยึดหลักของสัมมาวาจาเป็นที่ตั้ง ได้แก่ มีความซื่อสัตย์ วาจาเชื่อถือได้ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดแบบโปรยประโยชน์ทิ้งเสีย ไม่พูดเพื่อยุยงให้แตกกัน เกิดความสะเทือนใจต่อผู้ฟัง พูดเพื่อให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี และควรจัดการกับกิเลสภายในในจิตใจของทั้งตนเองและประชาชนส่วนรวมไม่ให้ฟูขึ้น ดีกว่ามาคิดจัดการแต่เรื่องกฏหมายบ้านเมือง ควรส่งเสริมและจัดให้คนดีมีอำนาจในการปกครองบ้านเมืองอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การเมืองไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต เราจึงต้องรักษาความดีของตนเองไว้ด้วยการปฏิบัติตามหลักของอริยมรรคมีองค์แปด เพื่อความเจริญไปในทั้งทางศีล สมาธิ และปัญญา

แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: เข้าใจทำ (ธรรม)  Ep.28 , คลังพระสูตร  Ep.50