เรื่องราวของกุลบุตรตระกูลชั้นสูงในถุลลโกฏฐิตนิคมชื่อ “รัฏฐปาละ”  เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า มีความยินดีปรารถนาที่จะรู้ทั่วถึงในธรรมะ จึงได้ตัดสินใจออกบวช แม้บิดามารดาจะไม่อนุญาตก็ตาม แต่ด้วยศรัทธาอันแรงกล้ายอมอดอาหาร  ด้วยความกลัวที่บุตรชายจะตาย บิดามารดาจึงยินยอมให้บวชได้ และหลังจากได้บวชแล้ว ก็หลีกเร้นออกไปอยู่รูปเดียว ไม่ประมาท ทำความเพียร ไม่นานก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย

ในคราวต่อมา พระรัฐปาลเถระได้แสดงธรรมแก่พระเจ้าโกรัพยะถึง ความเสื่อม 4 (ความเสื่อมเพราะชรา, ความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้, ความเสื่อมจากทรัพย์สมบัติ, ความเสื่อมจากญาติ) และ ธัมมุทเทส 4   อันเป็นเหตุที่ทำให้ตัดสินใจออกบวชโดยมีใจความบางส่วนดังนี้

“โลกอันชรานำไปไม่ยั่งยืน, โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน, โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป, โลกบกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา…ดูกรมหาบพิตร ธัมมุทเทส ๔ ข้อนี้แล พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงแล้ว ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต”

และได้กล่าวอีกต่อไปว่า

“อาตมาเห็นผู้คนที่มีทรัพย์ในโลก ได้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้ว ไม่ยอมให้ใคร เพราะความหลง ได้ทรัพย์แล้ว เก็บสะสมไว้ และปรารถนากามคุณยิ่ง ๆ ขึ้นไป พระราชาทรงกดขี่ ช่วงชิงเอาแผ่นดิน ทรงครอบครองแผ่นดินซึ่งมีสมุทรสาครล้อมรอบตลอดสมุทรสาครฝั่งนี้ ยังไม่ทรงพอ ยังปรารถนาจะครอบครองสมุทรสาครฝั่งโน้นอีก ทั้งพระราชาและคนอื่นเป็นจำนวนมาก ยังไม่ปราศจากตัณหาก็เข้าถึงความตาย ยังไม่เต็มตามที่ต้องการเลย ก็ละทิ้งร่างกายไป เพราะความอิ่มด้วยกามไม่มีในโลก หมู่ญาติพากันสยายผม คร่ำครวญถึงคนที่ตายนั้น และพูดว่า ‘ทำอย่างไรหนอ พวกญาติของเราทั้งหลายจึงจะไม่ตาย’ แต่นั้นก็นำศพนั้นซึ่งห่อผ้าไว้แล้วยกขึ้นสู่เชิงตะกอนแล้วช่วยกันเผา ศพนั้นถูกเขาใช้หลาวแทงเผาอยู่ ละโภคทรัพย์ มีแต่ผ้าผืนเดียว เมื่อคนจะตาย ญาติ มิตร หรือสหายก็ช่วยไม่ได้ ทายาททั้งหลายก็ขนทรัพย์สมบัติของเขาไป ส่วนสัตว์ที่ตายไปก็ย่อมไปตามกรรม เมื่อตายไป ทรัพย์ไร ๆ คือ บุตร ภรรยา ทรัพย์ ข้าวของ เงินทอง และแว่นแคว้นก็ติดตามไปไม่ได้ ทรัพย์ช่วยคนให้มีอายุยืนไม่ได้ ทั้งช่วยคนให้ละความแก่ก็ไม่ได้ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตนั้นว่าน้อยนัก ไม่ยั่งยืน มีความแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา ทั้งคนมั่งมี และคนยากจนก็ย่อมประสบเช่นนั้น ทั้งพาลและบัณฑิตก็ประสบเหมือนกันทั้งนั้น คนพาลนั่นแหละถูกเหตุแห่งทุกข์กระทบเข้า ย่อมหวั่นไหวเพราะความเป็นคนโง่ ส่วนบัณฑิตถูกกระทบเข้าก็ไม่หวั่นไหว เพราะเหตุนั้นแล ปัญญาเท่านั้นเป็นเหตุบรรลุนิพพาน ซึ่งเป็นที่สุดแห่งภพในโลกนี้ จึงประเสริฐกว่าทรัพย์

ก็เพราะยังไม่ได้บรรลุที่สุด คนพาลทั้งหลายจึงทำแต่กรรมชั่ว ในภพน้อยใหญ่เพราะความเขลา ผู้ทำกรรมชั่ว ต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฏร่ำไป คนมีปัญญาน้อย เมื่อเชื่อคนที่ทำกรรมชั่วนั้น ก็ย่อมเวียนว่ายตายเกิดร่ำไป โจรผู้ทำกรรมถูกเขาจับได้ตรงทาง ๓ แยก ย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตน ฉันใด หมู่สัตว์ผู้ทำกรรมชั่วตายไปแล้ว ย่อมเดือดร้อนในโลกหน้า เพราะกรรมของตน ฉันนั้น เพราะกรรมทั้งหลายที่งดงาม น่าปรารถนาชวนให้รื่นรมย์ใจ ย่อมย่ำยีจิตโดยสภาวะต่างๆ ฉะนั้น อาตมาเห็นโทษในกามคุณทั้งหลายจึงได้บวช มหาบพิตร สัตว์ทั้งหลายทั้งหนุ่มทั้งแก่ พอร่างแตกสลาย ก็ล่วงไปเหมือนผลไม้สุกงอมร่วงหล่นไป มหาบพิตร อาตมาเห็นความไม่เที่ยงแม้นี้ จึงได้บวช ความเป็นสมณะที่ปฏิบัติไม่ผิดนั่นแหละ ประเสริฐกว่า” ดังนี้แล

3 ประเด็นที่น่าสนใจควรนำไปใคร่ครวญในเรื่องนี้ ก็คือ
ความศรัทธา ชนิดที่ทำให้เกิดการทำจริงแน่วแน่จริงอันไม่ถอยกลับ ที่เรียกว่า “อัปปฏิวานี” ทำให้เกิดความเพียรความมุ่งมั่นไปตามทางสายกลางประกอบไปด้วย สติ สมาธิ ปัญญา ชนิดที่ว่าตายก็ไม่กล้ว เรียกว่า “พุทฺธสาสเน อุรํ ทตฺวา” ถวายอก ถวายชีวิตไว้ในพระพุทธศาสนากันเลย
เห็นภัยและโทษของกาม พระรัฐปาลที่ถึงแม้ถูกบิดาล่อลวงด้วยกองทรัพย์สมบัติมหาศาล ภรรยาหญิงงาม ยังรวมถึงอาหารการกินที่น่าบริโภค และถึงแม้จะใช้กำลังข่มขี่บังขับ ก็ไม่สามารถทำให้ท่านออกนอกเส้นทางได้
ธัมมุทเทส 4 ซึ่งเป็นเหตุให้คำสอนธรรมะนี้ยังตั้งอยู่ได้มาถึงบัดนี้ ก็ด้วยอย่างน้อยความจริงใน 4 ข้อนี้

แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: ขุดเพชรในพระไตรปิฎก: Ep.23