เปรียบอุปมาอุปมัย ในนักรบที่เมื่อต้องเข้าสู่สมรภูมิการต่อสู้ อะไรเป็นเหตุให้ได้ชนะหรือพ่ายแพ้ เปรียบมาในนักบวชหรือบรรพชิตซึ่งข้าศึกของบรรชิตคือสตรีหรือเพศตรงข้าม ความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นจนต้องบอกคืนสิกขา ไม่อาจถือครองพรหมจรรย์อยู่ต่อไปได้ ไม่ใช่อะไรแต่เป็นกิเลสในจิตใจของตน คือ ราคะ โทสะ และโมหะ ที่มีผัสสะเป็นแดนเกิด คือการไม่รู้จักสำรวมในอินทรีย์ จึงเป็นเหมือน นักรบที่พ่ายแพ้

ในปฐมโยธาชีวสูตร นี้ กล่าวถึงนักรบ 5 ประเภท คือในประเภทที่ 1-4 นี้ แค่เห็นฝุ่นคลุ้งขึ้น, เห็นยอดธง, ได้ยินเสียงกึกก้อง และหวาดสะดุ้งต่อการประหารของข้าศึก เกิดอดทนไม่ได้ เปรียบมาในนักบวชที่ได้ฟังหรือได้เห็นได้พูดคุยกับมาตุคามแล้ว มีการถูกต้องสัมผัสทางกาย เกิดความเพลิดเพลิน ยินดี พอใจในผัสสะนั้น บอกคืนสิกขาไป ส่วนนักรบประเภทที่ 5 คือ เป็นยอดของนักรบที่เป็นผู้ชนะในสงคราม เปรียบกับนักบวชที่กำหนดรู้ เห็นกิเลสแล้วละเสีย แล้วเจริญฌานทำให้แจ้งถึงความสิ้นอาสวะ

และในทุติยโยธาชีวสูตร ก็คล้ายกันเปรียบนักรบที่ถูกฆ่าตายบ้าง ตายในระหว่างจะไปรักษา รักษาแล้วตายหรือหายบ้าง เปรียบมาในนักบวชที่เมื่อเห็นมาตุคามแล้วเกิดผัสสะอยากบอกคืนสิกขา และนักรบประเภทสุดท้ายคือ เข้ายึดค่ายเป็นผู้ชนะในสงคราม นั้น กล่าวคือ รู้จักสำรวมอินทรีย์ ฆ่าเสียซึ่งกิเลส เจริญสมาธิ ทำวิมุตติญาณทัสสนะให้เกิดขึ้นได้

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต โยธาชีวรรค ข้อที่ 75-76