สนทนากับคุณทรงพล ชูเวช ผู้จัดรายการ “บันทึกสถานการณ์” (สวท.) ในข่าวคราวประเด็นร้อนของรอบเดือนสิงหาคม 62 ที่ผ่าน
ในเรื่องแรก เป็นเรื่องของ สามเณรไปเข้าร่วมกิจกรรมแข่งขัน E-Sport นั้น ผิดพระวินัยหรือไม่ อย่างไร?
คนที่เข้ามาบวชนั้นมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ซึ่งบางคนบวชมาศึกษาหาความรู้ เพื่อที่จะบรรลุธรรมก็มี เพื่อจะไปเป็นเทวดาก็มี เพื่อจะได้ศึกษาในเรื่องอภินิหารปาฏิหาริย์ พุทธมนต์ต่าง ๆ รู้แล้วก็จะนำไปทำมาหากิน หรือเพื่ออาศัยอยู่กินมีหลายอย่าง แต่ด้วยความแตกต่างกันในจุดนี้ ข้อปฏิบัติอย่างน้อย ๆ ที่จะต้องมีเลยคือ ความเป็นอยู่อย่างสมณะต้องมีศีล ตรงนี้สำคัญ ถ้าไม่มีศีล ความเป็นสมณะ เป็นพระ เป็นเณร มันจะไม่เหลือ มันก็จะลดน้อยหย่อนลงไป และจุดประสงค์ที่พระพุทธเจ้าต้องการปูพื้นฐานเรื่องศีลก็เพื่อสามารถให้ต่อไปได้ในเรื่องของสมาธิและปัญญา เพื่อป้องกันการเบียดเบียนไม่ให้เกิดขึ้น
เด็กไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่หรืออยู่ในสถานภาพไหน ต่อให้โตเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม บางทีก็ทำอะไรผิดบ้างถูกบ้าง เราต้องเปิดโอกาสให้เขาแก้ไข ค่อยปรับแก้ จะทำให้เกิดการพัฒนาไปในทางที่ถูกต้องได้…มุมมองของการที่เราจะดูว่าการกระทำนั้นหรือการดูการละเล่นนั้น จะผิดศีลหรือไม่อย่างไร ก็ต้องดูที่เจตนาว่า การกระทำนั้นเป็นข้าศึกต่อกุศลธรรมหรือไม่ อย่างไร เป็นการประกอบกันแล้วจึงพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ทั้งนี้ทั้งนั้นที่สำคัญ จิตของเราจะต้องไม่ให้ตกไปในแดนอกุศล อารมณ์เสีย เพ่งโทษคนนั้นคนนี้ จะทำให้จิตเราจะเป็นอกุศลเสียเอง
ในเรื่องที่สอง เป็นเรื่องของ การดื่มน้ำปัสสาวะเพื่อรักษาโรค โดยอ้างอิงว่าเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าบอกสอนไว้
ในเรื่องของการดื่มน้ำปัสสาวะที่ออกมาจากร่างกายของมนุษย์เองมีระบุไว้ แต่รายละเอียดมันมีอยู่ว่า พระที่บวชมาใหม่ อุปัชฌาย์ต้องแจ้งให้ทราบก่อนเรียกว่า “กรณียกิจ 4 และ อกรณียกิจ 4” ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ยารักษาโรค เมื่อภิกษุเจ็บป่วยไข้ การรักษาก็คือ การกินยาดองน้ำมูตรเน่า ยาที่ได้จากรากไม้ ใบไม้ และยางของมัน หรือถ้ามีคนผู้มีศรัทธาถวายเภสัช 5 ที่ละเอียดประณีตก็ได้ พระพุทธเจ้าทรงให้ภิกษุเป็นผู้ที่อยู่ง่าย ซึ่งง่ายที่สุดในเรื่องของยารักษาโรค จึงเป็นยาที่หาได้ทั่วไป หาได้ง่าย ๆ ไม่ต้องพี่งพาอะไรมาก ก็คือ การกินยาดองน้ำมูตรเน่า (การนำปัสสาวะไปดองกับน้ำผลไม้ที่มีรสฝาด เช่น สมอหรือว่ามะขามป้อม)
…ถ้าเรานึกว่ามียาอะไรกินแล้วหาย มันจะไม่มี มันจะไม่เป็นอย่างนั้นที่ว่าจะรักษาโรคได้ทุกอย่างทุกทีทุกเวลา ไม่อย่างนั้นคนตายจะไม่มีในโลกนี้ แต่เพราะคนเราต้องเกิดแล้วเกิดอีก ตามเหตุปัจจัยของการเกิด ผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือต้องเจ็บไข้ได้ป่วย อันนี้เป็นธรรมดา หนีไม่พ้น วิธีการหรือทางที่จะทำให้พ้นจากการที่จะไม่ต้องมาเกิดอีกหรือเจอโรคภัยไข้เจ็บนี้อีก นั่นคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
และในเรื่องที่สาม ปรารภถึงเรื่องการเลิกรากันของดาราคู่หนึ่ง มีข่าวครึกโครมเป็นวิพากษ์วิจารณ์กัน แต่ประเด็นตรงนี้จะมี หลักธรรมใดสำหรับการครองคู่ให้มีความยั่งยืน
จุดที่เราต้องมาสนใจ ที่เมื่อเราดูเรื่องราวของคนอื่นที่เกิดขึ้นแล้ว ให้น้อมเข้ามาดูที่ตัวเราว่า เราจะทำอย่างไรไม่ให้มีปัญหา หรือมีปัญหาน้อยที่สุด ซึ่งหลักธรรมที่สามารถนำมาใช้ได้ในเรื่องของคนคู่ พระพุทธเจ้าตรัสถึงหลักธรรม 4 อย่าง คือ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ที่จะต้องมีเสมอ ๆ กัน, หน้าที่ 5 อย่างที่สามีและภริยาพึงปฏิบัติ เพื่อไม่เป็นภัยต่อกันและกัน
ประเด็นสำคัญ การที่จะป้องกันอันตรายในเบื้องต้นจากการที่จะหาความสุขในทางกามคือเรื่องของศีล ถ้าเรารักษาศีลได้ดี การหาความสุขอย่างนี้ที่เมื่อมันเปลี่ยนแปลงไป เราก็ไม่ต้องไปตกนรก หรือไปเป็นคดีความในศาล ยังพอรักษาตัวอยู่ได้บ้าง และสิ่งสำคัญที่ยิ่งขึ้นไป คือการหาความสุขที่เหนือกว่าในเรื่องของกาม เป็นความสุขที่เกิดจากการปฏิบัติสมาธิ การทำจิตให้สงบ การให้ มีเมตตา กรุณา อุเบกขา เหล่านี้จะสามารถทำจิตของเราให้เหนือจากกามได้
แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: สมการชีวิต Ep.17 , เข้าใจทำ (ธรรม) Ep.60
#1u0123-1-190902