เจาะลึกลงมาจากเรื่องของขันธ์ 5 สามารถอธิบายแจกแจงเห็นได้ชัดเจนลงมาอีกในเรื่องของ “สฬายตนะ” คือ อายตนะภายในและภายนอกทั้ง 6  โดยแยกรูป แยกสังขาร (การปรุงแต่ง) อธิบายในลักษณะที่เป็นช่องทางของการรับรู้ โดยได้อธิบายแต่ละอายตนะโดยรายละเอียด

เวลาที่เราอธิบายอายตนะอันใดอันหนึ่ง ก็ต้องมีทั้งภายนอกและภายใน พอมีช่องทางที่มันกระทบถูกต้องแล้วก็จะเกิดการรับรู้เกิดขึ้นในช่องทางใจ (มโน) การรับรู้นั่นเรียกว่า “วิญญาณ”…อินทรีย์จึงมีใจเป็นที่แล่นไปสู่

“ใจ” ตรงนี้จึงเป็นที่รวบลงของสิ่งต่าง ๆ เริ่มเป็นนามธรรมเกิดขึ้น มีผัสสะเกิดขึ้นต่อกันและต่อกันไป มีการรับรู้ทางใจ (มโนวิญญาณ) เกิดเป็น “เวทนา” (ความรู้สึกเป็นทุกข์, เป็นสุข, อทุกขมสุข)

แยกแยะช่องทางการรับรู้ได้ 18 อย่าง ซึ่งในแต่ละอย่าง ๆ ท่านพระสารีบุตรกล่าวไว้กับท่านพระมหาโกฏฐิตะ ใน โกฏฐิกสูตร ว่า เหล่านี้เป็นของที่เกาะเกี่ยวเนื่องกันอยู่ แต่ไม่ใช่ของอย่างเดียวกัน…ความคิดที่เป็นวิตกวิจารในเรื่องต่าง ๆ ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ คิดนึกปรุงแต่งนั่นนี่ กับ ใจ มันเป็นคนละอย่างกัน และยังเป็นคนละอย่างกันกับการรับรู้ด้วย

สิ่งที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ไม่ได้ก็คือ การที่เราเห็นว่ามันเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของกันและกันอยู่ ก็เพราะความรักใคร่พอใจที่อาศัยอะไรเกิดขึ้น มันก็เกาะเกี่ยวกันเลยตรงนั้น ถ้าเรายังเห็นว่ามันแยกจากกันไม่ได้ ความคิดนี้ ไม่ถูกต้อง เป็นมิจฉาทิฏฐิ…แต่ถ้าตัดความรักใคร่พอใจออกไปได้ มันจะไม่ไปต่อ มันแยกจากกัน มันสืบเนื่องต่อกันไปไม่ได้ ความสิ้นทุกข์โดยชอบจึงปรากฎขึ้นได้ เพราะอาศัยเหตุปัจจัยคือการประพฤติการปฏิบัติที่สมควรแก่ธรรม

“…เหมือนโคดำและโคขาวที่ถูกผูกอยู่ด้วยเชือกเส้นเดียวกัน แต่เป็นคนละตัวกัน ตัดเชือกแล้วตัวหนึ่งก็ไปทางหนึ่ง มันก็แยกกันไป…ใจ และ ธรรมารมณ์ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ความคิดนึกก็อย่างหนึ่ง ช่องทางก็อย่างหนึ่ง ผู้ที่เข้าไปรับรู้ คือ วิญญาณ นั่นก็อย่างหนึ่งแน่นอน มันเป็นคนละอย่างกัน แต่เหมือนดูเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยเราแยกแยะได้ไม่ชัดเจนเพราะความรักใคร่พอใจคือตัณหา ที่มีรากคืออวิชชามาปกปิดบังเอาไว้ เราจะคลี่แจงแจกให้เกิดความผ่องใสได้ เริ่มต้นจากการปฏิบัติสมาธิ ฟังใคร่ครวญธรรมเป็นอย่างดี ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างดีได้”

แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: ใต้ร่มโพธิบท  Ep.56