พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ว่า . . .“ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ  บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว”

มรรคมีองค์แปดนั่นเป็นความดี เป็นความงาม เป็นกัลยาณธรรม เป็นกัลยาณวัตร คือ เป็นข้อปฏิบัติที่ดี ศีลสมาธิปัญญา ทานศีลภาวนา ต้องรักษาศีลห้า อย่างน้อยๆ ที่สุดที่จะถึงความดีตรงนั้นได้ก็คือการทำสมาธิขั้นใดขั้นหนึ่งให้เกิดขึ้น การทำให้จิตเป็นอารมณ์อันเดียว รู้จักปล่อยวาง เห็นความตั้งอยู่ไม่ได้ของธรรมต่างๆ บ้าง มีการทำจริงแน่วแน่จริง การรู้จักใช้จ่ายประหยัดมัธยัสถ์ การที่ทำให้จิตเป็นอารมณการที่พูดจาไม่ว่ากันให้ร้ายกัน การที่มีความคิดปรารถนาดีกัน เหล่านี้เป็นความดีแน่นนอน

“สุวิชาโน ภวํ โหติ สุวิชาโน ปราภโว” แปลว่า ผู้เจริญก็รู้ได้ง่าย ผู้เสื่อมก็ดูรู้ได้ ผู้ที่มีความใคร่ชอบพอในการฟังธรรมของพระอริยะเจ้ามีจิตโน้มน้อมมาทันที รู้ได้ทันทีว่าคนนี้ต่อไปเจริญแน่ ส่วนผู้ที่มีความเกลียดธรรม ไม่อยากฟังธรรม เป็นคนขี้เกียจ มีอธรรมอยู่ในใจ เราดูรู้ได้เลยว่าคนนี้ต่อไปหรือทำกิจการงานต่อไปเสื่อมแน่นอน นี่คือ ความรู้ได้ง่ายสุวิชาโน