“เมื่อเรือนถูกไฟไหม้ สิ่งของที่นำออกไปได้ย่อมเป็นประโยชน์แก่เขา สิ่งของที่ถูกไฟไหม้ในเรือนนั้น ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่เขา ฉันใด

เมื่อโลกถูกชราและมรณะแผดเผาแล้วก็ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลควรนำออกมาด้วยการให้ สิ่งที่ให้แล้วชื่อว่านำออกไปดีแล้ว ความสำรวมทางกาย วาจา และใจในโลกนี้ ย่อมมีเพื่อความสุขแก่บุคคลผู้ตายไปแล้ว ซึ่งได้ทำบุญไว้ขณะเมื่อมีชีวิตอยู่”

ยังคงอยู่ในติกนิบาต วันนี้เริ่มทุติยปัณณาสก์ พรหมณวรรคข้อที่ 52 – 57 ในปฐมและทุติยเทวพราหมณสูตรเป็นเรื่องที่พราหมณ์ผู้ประมาท ได้ถามว่าชีวิตที่เหลือควรทำเช่นไร พระพุทธเจ้าได้ยกธรรม 3 ข้อ คือความแก่ ความเจ็บ และความตายที่เป็นเครื่องร้อยรัด จึงควรมีการสำรวมกายวาจาใจและสร้างบุญ ในข้อที่ 53 เพิ่มเรื่องการนำออกด้วยทาน การให้ทานเป็นการได้ซึ่งลาภทาน 

อัญญตรพราหมณสูตร, ปริพาชกสูตร, นิพพุตสูตร เป็นคำถามเกี่ยวกับความเป็นสวากขาตธรรม ทำไมธรรมะจึงรู้ได้เฉพาะตน และนิพพานเป็นอย่างไร ทรงยกเรื่องราคะโทสะโมหะที่เมื่อมีแล้ว ใจจะมีทุกขโทมนัส จะทำให้เกิดการเบียดเบียนกัน ไม่รู้ประโยชน์ชัดทั้งสองฝ่าย เมื่อปฏิบัติมาตามธรรมราคะโทสะโมหะหมดไป ความทุกข์ในใจก็ไม่เกิด มีความไม่เบียดเบียน เห็นประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น แล้วจะเห็นความดับในใจได้ด้วยตนเอง

ปโลกสูตร เหตุที่ว่าทำไมมนุษย์จึงมีน้อย เป็นเพราะมนุษย์ประกอบอกุศลธรรม 3 อย่าง