เริ่มโยธาชีววรรค โยธสูตร นำคุณสมบัติของนักรบมาเปรียบกับการรบกับกิเลสของภิกษุที่ถ้ามีองค์ 3 ข้อนี้ ก็จะมีคุณสมบัติของสังฆคุณ 4 ข้อหลัง องค์ 3 อย่าง คือ ยิงได้ไกล คือ การเห็นขันธ์ 5 โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นอนัตตา เห็นด้วยปัญญาชัดเจนทั้งในอดีตอนาคตปัจจุบัน, ยิงไม่พลาดเป้า คือ รู้ตามเป็นจริงในอริยสัจ 4 ถ้าไม่รู้ถึงรอบ 3 อาการ 12 อย่างน้อยรู้ในรอบแรก รู้ว่าทุกข์คืออะไร หมายถึง การเป็นโสดาบันนั่นเอง พอเราไม่พลาดเป้าเราจะไปต่อได้ และยิงทำลายกองใหญ่ได้ คือ ทำลายกองอวิชชาได้ ดับทุกข์ได้ วิชชาเกิด ใน 3 ข้อนี้ ถ้ารู้ข้อใดข้อหนึ่ง ก็สามารถเชื่อมโยงรู้แจ้งทั้งหมด

อุปปทาสูตร พูดถึงกฎของธรรมชาติ 2 ข้อ ที่แม้ไม่มีตถาคตก็ยังคงเป็นอย่างนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ธมฺมัฏฐิตตา และความเป็นไปตามธรรมดา ธมฺมนิยามตา พอตถาคตเข้าใจแล้ว จึงบอกสอนว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ซึ่งคำสอนนี้สามารถนำมาใช้ได้กับทุกสิ่ง

ในเกสกัมพลสูตร เปรียบความไม่มีค่าของเจ้าลัทธิ ดั่งผ้าที่ทอจากผมมนุษย์ และเปรียบความหายนะที่จะก่อดุจไซดักมนุษย์ ด้วยความมีวาทะว่ากรรมไม่มี กิริยาไม่มี ความเพียรไม่มี ในขณะที่พระพุทธเจ้าไม่ว่ากาลไหน ๆ จะสอนว่ากรรมมี กิริยามี ความเพียรมี

ปริสสูตร บริษัท 3 ที่แนะนำได้ยากง่ายต่างกัน มิตตสูตร มิตรที่ควรคบหา เพราะให้/ทำ/ทนในสิ่งที่ทำ/ให้/ทนได้ยาก ใน สัมปทาสูตร และวุฑฒิสูตร ว่าด้วยความพร้อม และความเจริญแห่งศรัทธา ศีล ปัญญา