เพราะการกระทำปรุงแต่งเหล่านั้น จึงเกิดเป็นลักษณะของการสั่งสม เป็นสภาวะที่ทำให้เกิดความชอบ ไม่ชอบ (ตัณหา) “จิต” จึงทำให้มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเราของเราอยู่ในนั้น  ซึ่งจิตมันเป็นผลพลอยได้ เป็นผลพวงของความยึดถือมาอยู่แล้ว เป็นอย่างนี้มาช้านานแล้ว เป็นกระบวนการที่เป็นกระแสปรุงแต่งไปอยู่ตลอดกาลอยู่แล้ว

ถ้าเราไปตามหาที่สุด เบื้องต้น เบื้องปลาย มันจะไม่เจอ ไม่ปรากฎ มันจะเป็นกระแสวนไปวนมา ไม่รู้เลยว่ามันเริ่มมาอย่างไร มันไปอยู่ตรงไหน เพราะมันเป็นวงกลมไง วนไปตลอดกาลช้านาน ความยึดถือก็เกิดขึ้นได้ตลอด ๆ ต่อเนื่องกันมาตลอด ทำให้เราเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงทรงหยุดสิ่งเหล่านี้ไว้ด้วยการบัญญัติสิ่งที่เรียกว่า “อวิชชา” 

“มันแค่เหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นความไม่รู้ ด้านหนึ่งเป็นความรู้ เราไม่รู้หรอกว่าทำไมมันต้องปรุงแต่งมาเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นอย่างนี้ล่ะ เป็นอย่างนี้แล้วและจะยังไง แต่ถ้าเรามองดูอีกมุมหนึ่ง อ๋อ! มันมีเหตุ มีผล มีเงื่อนไขเป็นปัจจัยแล้ว จึงก่อให้เกิดผลเป็นวิบากเป็นแบบนี้ มันไม่เป็นตัวของมันเอง นี่ ความรู้เกิดแล้ว”