สุตร#1 เอสุการีสูตร ทรงแสดงแก่เอสุการีพราหมณ์ ณ เชตวัน เอสุการีทูลถามข้อบัญญัติเกี่ยวกับการบำเรอ 4 ประการของพวกพราหมณ์ และเกี่ยวกับทรัพย์ 4 ประการของพวกพราหมณ์ ทรงตรัสว่าเป็นการบัญญัติเอาเองโดยที่ชาวโลกไม่ยอมรับ เหมือนการบังคับคนยากจนให้กินเนื้ออาบยาพิษแล้วบังคับให้จ่ายค่าเนื้อ ทรงอธิบายต่อว่า บุคคลจะเป็นผู้ประเสริฐหรือเลวทรามไม่ใช่เพราะเกิดในตระกูลสูง ผิวพรรณดี มีโภคะมาก แต่อยู่ที่ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา ในเรื่องของทรัพย์ทรงบัญญัติว่า ทรัพย์ของบุคคลคือ โลกุตตรธรรมอันเป็นอริยะ เพราะไม่ว่าบุคคลจะเกิดในตระกูลกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็สามารถออกบวช เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เป็นต้น ได้เหมือนกัน เจริญเมตตาจิต อาบน้ำลอยละอองธุลีได้เหมือนกัน เมื่อเอาไม้มาสีให้เกิดเป็นไฟก็เป็นไฟเหมือนกัน เมื่อทรงแสดงจบเอสุการีพราหมณ์ได้แสดงตนเป็นอุบาสกตลอดชีวิตสูตร#2 มธุรสูตร ท่านพระมหากัจจานะแสดงแก่พระเจ้ามธุระ อวันตีบุตร ณ ป่าคุนธาวัน ปรารภคำถามพระเจ้ามธุระ ที่ได้ตรัสถามเกี่ยวกับเรื่องการถือชั้นวรรณะของพวกพราหมณ์ ที่เชื่อว่าพวกพราหมณ์เท่านั้นที่เกิดจากโอษฐ์ เป็นบุตรและเป็นทายาทของพระพรหม จึงประเสริฐกว่าคนวรรณะอื่นๆ ซึ่งท่านพระมหากัจจานะตอบว่า เป็นเรื่องที่พวกพราหมณ์แต่งขึ้นเพื่อโฆษณาตัวเองว่าประเสริฐกว่าบริสุทธิ์กว่าวรรณอื่น และอธิบายให้เหตุผลตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนาว่า คนจะดีหรือเลวมิใช่เพราะชาติวรรณะแต่เพราะการกระทำของตนเอง เมื่อแสดงธรรมจบ พระเจ้ามธุระแสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต