ปฏิบัติภาวนาด้วยการเจริญจิตตานุสปัสสนาสติปัฏฐาน เพื่อให้เห็นจิตในจิต

เริ่มจากตั้งศรัทธาไว้ใน “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” จิตจะน้อมไปในเจตนาดี มีศรัทธานั่นคือเรามีสัมมาทิฐิ, สัมมาวายามะ แล้วเราก้าวสู่ความปกติคือมี “ศีล” ทันที คือเป็นสัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาวาจา

“ศีล” เป็นเครื่องมือแรกที่เราจะเข้าไปหา “จิต” เพื่อทำให้ กาย,วาจา สงบ ระงับ

ส่วนทางใจต้องไม่ประมาทโดยการ “มีสติ” เพื่อให้สติอยู่กับจิตตลอดเวลา สติคือการแยกแยะ แจกแจง ในผัสสะ, ธรรมารมณ์ต่างๆที่เขามากระทบจิตที่ผ่านทางอายตนะทั้งหก หากเรามีสติเรื่อยๆ สติจะมีกำลัง

ขณะนั้นใจมีความสงบระงับ เป็นประภัสสร เป็นสมาธิ เราก็จะเห็นจิตของเรา และพบว่า จิตเรามี “อวิชชา” ทำให้มีการปรุงแต่ง(สังขาร)ของจิตตลอดเวลา เกิด “ภพ สภาวะ”เพราะความยึดมั่น จิตก็จะก้าวลงในสิ่งนั้น เกิดทุกข์ จาก “อวิชชาที่หลอกจิตให้ปรุงแต่งอยู่ร่ำไป” นี่คือ “จิตหลอกชั้นที่หนึ่ง”

หากเรามีสติตั้งมั่น สัมมาสติ สัมมาสมาธิเกิด, “วิชชา” ความรู้ก็เกิดขึ้นว่า “จิต..ไม่ต้องไปปรุงแต่งสิ่งต่างๆก็ได้” เมื่อไม่ปรุงแต่ง สังขารดับ “องค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ หรือ โพชฌงค์” ก็เกิด

อวิชชาหลอกจิตชั้นที่สองว่า จิตคือตัวตนของเรา คิดว่าจิตเป็นอัตตา

หากแต่ “จิต” เป็นไปตามเงื่อนไข เหตุ ปัจจัย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์, ดังนั้น “จิตเป็นอนัตตา” จิตเป็นของโลก ไม่ใช่ของเรา

แล้วทำอย่างไรเล่า ก็ “ให้ละ ให้วางจิต” เพื่อไปสู่ทาง “พระนิพพาน” ทางนี้ ทางเดียว.