หมวดธรรม 4 ประการ ใน ปุคคลวรรค หมวดว่าด้วยบุคคล

ข้อที่ 131 สังโยชนสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ละสังโยชน์ได้ กล่าวถึงบุคคล 4 ประเภท ที่จำแนกตามความสามารถในการละสังโยชน์ 3 ลักษณะ ได้แก่

1. สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการ ได้แก่ สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส, กามราคะ และพยาบาท
2. สังโยชน์ที่เป็นปัจจัยแห่งการเกิด (กิเลสที่ทำให้ต้องมีการอุบัติขึ้นในภพ)
3. สังโยชน์ที่เป็นปัจจัยให้ได้ภพ (กิเลสที่ผูกติดอยู่กับภพ)

นำมาจำแนกบุคคลออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1. บุคคลผู้ที่ยังละทั้ง 3 ข้อไม่ได้: ปุถุชน, พระโสดาบัน, พระสกทาคามี
2. บุคคลผู้ที่ละข้อที่ 1 ได้ แต่ยังละ ข้อที่ 2 และ ข้อที่ 3 ไม่ได้: พระอนาคามีผู้ที่จะไปเกิดในอกนิฏฐภพ
3. บุคคลผู้ที่ละข้อที่ 1 และ ข้อที่ 2 ได้ แต่ยังละ ข้อที่ 3 ไม่ได้: พระอนาคามีผู้ปรินิพพานในภพนั้น
4. บุคคลผู้ที่ละได้หมด: พระอรหันต์

ข้อที่ 132 ปฏิภาณสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ตอบได้ถูกต้อง กล่าวถึงบุคคล4 จำพวกในการตอบธรรมะ คือ
1. ตอบถูกแต่ช้า
2. ตอบเร็วแต่ไม่ถูก
3. ตอบถูกและเร็ว
4. ตอบไม่ถูกและไม่เร็ว

ข้อที่ 133 อุคฆฏิตัญญูสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้เข้าใจได้ฉับพลัน กล่าวถึงบุคคล 4 จำพวก ได้แก่
1. อุคฆฏิตัญญู (ผู้เข้าใจได้ฉับพลัน): มีปัญญามาก เพียงแค่ยกหัวข้อธรรมก็เข้าใจได้ทันที.
2. วิปจิตัญญู (ผู้อาจรู้ธรรมต่อเมื่ออธิบาย): มีปัญญารองลงมา ต้องฟังคำอธิบายขยายความจึงจะเข้าใจ.
3. เนยยะ (ผู้พอจะแนะนำได้): ต้องพากเพียรเรียนรู้ เล่าเรียน จึงจะเข้าใจธรรมได้.
4. ปทปรมะ (ผู้ที่รู้ได้เพียงตัวบทคือพยัญชนะ): บุคคลที่ฟังไว้มาก แสดงไว้มาก ทรงจำไว้มาก และพูดไว้มาก แต่ไม่บรรลุธรรมในชาตินี้ คือ ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญฌาน วิปัสสนา มรรค หรือผลให้บังเกิดได้

ข้อที่ 134 อุฏฐานผลสูตร ว่าด้วยผลแห่งความขยันหมั่นเพียร กล่าวถึงบุคคล 4 จำพวก โดยมี 2 ปัจจัยนี้เป็นตัวแปร ได้แก่ 
1. ดำรงชีพด้วยผลแห่งความขยันหมั่นเพียร (ผลแห่งกรรมในปัจจุบัน) 
2. ดำรงชีพด้วยผลแห่งกรรม (ผลแห่งกรรมในกาลก่อน)

ข้อที่ 135 สาวัชชสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้มีแต่โทษ โดยการนำเอา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่มีโทษมาเป็นตัวแปรในบุคคล 4 จำพวก ได้แก่
1. บุคคลผู้มีแต่โทษ: คนพาล
2. บุคคลผู้มีโทษเป็นส่วนมาก: กัลยาณปุถุชน
3. บุคคลผู้มีโทษเป็นส่วนน้อย: โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี4
4. บุคคลผู้ไม่มีโทษ: อรหันต์

ข้อที่ 136 ปฐมสีลสูตร ว่าด้วยศีล สูตรที่ ๑ กล่าวถึงความบริบูรณ์ของศีล สมาธิ และปัญญาในบุคคล 4 จำพวก คือ
1. ไม่บำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญาให้บริบูรณ์: ปุถุชน
2. บำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ แต่ไม่บำเพ็ญสมาธิ ปัญญาให้บริบูรณ์: โสดาบัน สกทาคามี
3. บำเพ็ญศีลและสมาธิให้บริบูรณ์ แต่ไม่บำเพ็ญปัญญาให้บริบูรณ์: อนาคามี
4. บำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญาให้บริบูรณ์: อรหันต์

ข้อที่ 137 ทุติยสีลสูตร ว่าด้วยศีล สูตรที่ ๒ กล่าวถึงบุคคล 4 จำพวก โดยการเคารพในศีล สมาธิ และปัญญามาเป็นตัวแปร

ข้อที่ 138 นิกกัฏฐสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้มีกายและจิตออก การจำแนกบุคคล 4 จำพวกตามการ “ออก” จากกิเลส คือ
1. กายออกแต่จิตยังไม่ออก (อยู่ป่า คืออาศัยเสนาสนะเงียบสงัด แต่ยังคิดเรื่องกาม พยาบาท เบียดเบียน)
2. กายยังไม่ออกแต่จิตออก (ไม่อยู่ป่า แต่ไม่คิดไปในทางกาม พยาบาท เบียดเบียน)
3. กายก็ไม่ออกจิตก็ไม่ออก (ไม่อยู่ป่า แต่คิดไปในทางกาม พยาบาท เบียดเบียน)
4. กายออกจิตออก (อยู่ป่า และไม่คิดไปในทางกาม พยาบาท เบียดเบียน)

ข้อที่ 139 ธัมมกถิกสูตร ว่าด้วยธรรมกถึก ได้แบ่งธรรมกถึก (ผู้แสดงธรรม) ออกเป็น 4 ประเภทตามลักษณะการสอนและผู้ฟัง ดังนี้
1. กล่าวธรรมน้อย และไม่ประกอบด้วยประโยชน์: ทั้งผู้สอนและผู้ฟังไม่ฉลาดในประโยชน์
2. กล่าวธรรมน้อย แต่ประกอบด้วยประโยชน์: ผู้สอนกล่าวสิ่งที่มีสาระ และผู้ฟังเป็นผู้ฉลาด
3. กล่าวธรรมมาก แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์: กล่าวมากแต่หาสาระไม่ได้ และผู้ฟังไม่ฉลาด
4. กล่าวธรรมมาก และประกอบด้วยประโยชน์: กล่าวธรรมได้ละเอียดลึกซึ้งและมีสาระยิ่ง และผู้ฟังก็เป็นผู้ฉลาด

ข้อที่ 140 วาทีสูตร ว่าด้วยนักพูด กล่าวถึงนักพูด 4 จำพวก โดยการนำเอาความจนหรือไม่จนใน อรรถ (เนื้อหา/ความหมาย) และ พยัญชนะ (รูปแบบ/ถ้อยคำ) เป็นตัวแปรมาจับคู่กัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ว่านักพูดผู้ประกอบด้วยปฏิสัมภิทา 4 ประการจะพึงจนทั้งด้านอรรถหรือด้านพยัญชนะ

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปุคคลวรรค


Tstamp

[03:52] สังโยชนสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ละสังโยชน์ได้
[13:10] ปฏิภาณสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ตอบได้ถูกต้อง
[14:08] อุคฆฏิตัญญูสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้เข้าใจได้ฉับพลัน
[23:36] อุฏฐานผลสูตร ว่าด้วยผลแห่งความขยันหมั่นเพียร
[28:30] สาวัชชสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้มีแต่โทษ
[33:02] ปฐมสีลสูตร ว่าด้วยศีล สูตรที่ ๑
[38:08] ทุติยสีลสูตร ว่าด้วยศีล สูตรที่ ๒
[42:10] นิกกัฏฐสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้มีกายและจิตออก
[49:50] ธัมมกถิกสูตร ว่าด้วยธรรมกถึก
[52:50] วาทีสูตร ว่าด้วยนักพูด