สูตร#1 กุลสูตร พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปาวาริกัมพวัน เขตเมืองนาฬันทา ผู้ใหญ่บ้านชื่ออสิพันธกบุตร ได้รับคำแนะนำจากนิครนถ์นาฎบุตรให้มาโต้วาทะกับพระผู้มีพระภาคเรื่องเหตุที่ทำให้ตระกูลคับแค้น โดยยกเหตุการณ์ที่พระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จเที่ยวบิณฑบาตจากชาวบ้านผู้ประสบภัยข้าวยากหมากแพงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในเมืองนาฬันทาขณะนั้นมาเป็นเงื่อนไข พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงเหตุปัจจัยให้ตระกูลคับแค้น 8 ประการ คือ (1) จากพระราชา (2) จากโจร (3) จากไฟ (4) จากน้ำ (5) จากทรัพย์ที่มีได้เคลื่อนที่ไป (6) จากการงานที่ไม่ดี (7) จากทรัพย์ในตระกูลที่กลายเป็นถ่านเพลิง (8) จากการใช้จ่ายทรัพย์อย่างสุรุ่ย สุร่ายฟุ่มเฟือย ไม่ใช่เพราะการบิณฑบาตของพระองค์ ทรงแสดงว่า การให้ ความมีสัจจะ ความสำรวมเป็นหตุให้ตระกูลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีเงินทองมาก

สูตร#2 สังขธมสูตร ณ ปาวาริกัมพวัน พระผู้มีพระภาคตรัสถามผู้ใหญ่บ้านชื่ออสิพันธกบุตรว่า นิครนภ์นาฏบุตรแสดงธรรมแก่สาวกอย่างไร เขาทูลตอบว่า ผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม และผู้พูดเท็จ ทั้งหมดต้องไปสู่อบาย ตกนรก กรรมมีมากกรรมนั้น ๆ นำบุคคลไป ทรงแย้งว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็แสดงว่าไม่มีไปเกิดในอบาย ในนรกเลย เพราะการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ต้องทำในเวลาขณะตื่น ขณะนอนหลับทำไม่ได้ ทรงถามว่า เวลาทำกรรมกับเวลาไม่ทำกรรมของคนคนหนึ่ง เวลาไหนมีมากกว่ากัน เมื่อผู้ใหญ่บ้านทูลตอบว่า เวลาไม่ทำกรรมมีมากกว่า จึงทรงสรุปว่าไม่มีกรรมใดที่จะถือว่า “มีมาก” เมื่อไม่มีกรรมมาก ก็ไม่มีกรรมที่นำบุคคลไปสู่อบาย นรก ความเห็นของนิครนถ์ นาฏบุตร จึงเป็นความเห็นผิด แล้วทรงสอนธรรมตามที่ได้ตรัสรู้โดยชอบ จะละบาปกรรมและก้าวล่วงบาปกรรมนั้นได้ และทรงสรุปว่า เมื่อปฏิบัติธรรมได้ผลสมควรแก่กรรมแล้ว ให้แผ่เมตตาจิต กรุณาจิต มุทิตาจิต และอุเบกขาจิตไปในทิศทั้งหลายเหมือนคนมีกำลังเป่าสังข์ให้ได้ยินโดยทั่วกัน

สูตร#3 เขตตูปมสูตร ณ ปาวาริกัมพวัน ผู้ใหญ่บ้านชื่ออสิพันธกบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วทูลถามว่า ทรงเอ็นดูมุ่งประโยชน์ต่อสรรพสัตว์มิใช่หรือ ทำไมจึงทรงแสดงธรรมโดยเคารพแก่คนบางพวก ไม่ทรงแสดงธรรมโดยเคารพแก่คนบางพวก ตรัสตอบว่า ทรงเอ็นดูมุ่งประโยชน์ต่อสรรพสัตว์จริง คือทรงแสดงธรรมโดยเคารพต่อสรรพสัตว์เสมอกัน แต่ที่ทรงแสดงแก่คนบางพวกก่อน ก็เพราะทรงเอ็นดูมุ่งประโยชน์ต่อคนเหล่านั้นผู้พร้อมจะฟังธรรมเทศนาก่อน ทรงเปรียบให้ฟังว่า พระองค์เหมือนชาวนาที่ฉลาดผู้เลือกหว่านพืชในนาดีก่อน แล้วหว่านในนาปานกลาง ส่วนนาเลวซึ่งดินแข็ง ดินเค็ม ดินไม่ดีนั้น ชาวนาจะหว่านพืชบ้าง ไม่หว่านพืชบ้างก็ได้ นอกจากนี้ยังทรงอุปมาด้วยคนตักน้ำใส่โอ่ง 3 ชนิด คือ (1) โอ่งไม่ร้าว น้ำไม่ซึม (2) โอ่งไม่ร้าว แต่น้ำซึมออกได้ (3) โอ่งร้าวและน้ำซึมออกได้ โอ่ง 3 ชนิดนี้ แม้คนตักน้ำจะใส่น้ำลงเท่า ๆ กัน ก็ย่อมรับน้ำไว้ได้ไม่เท่ากัน ข้อนี้ฉันใด ผู้ฟังพระธรรมเทศนาก็รับธรรมไว้ได้ไม่ท่ากันฉันนั้น

สูตร#4 อสิพันธกปุตตสูตร ณ ปาวาริกัมพวัน ผู้ใหญ่บ้านชื่ออสิพันธกบุตรได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามว่า ทรงสามารถทำให้คนตายกลับฟื้นขึ้นมา ทรงสอนให้รู้ชอบ ให้ไปเกิดในสวรรค์ เหมือนพวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิได้หรือไม่ ตรัสตอบว่า คนที่ประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ 10 ประการ มหาชนช่วยกันสวดอ้อนวอน สวดสรรเสริญ ทำพิธีกรรมขอให้ไปเกิดในสวรรค์ ผู้นั้นจะไปเกิดในสวรรค์ได้หรือไม่ เมื่ออสิพันธกบุตรทูลตอบว่า ไม่ได้ จึงตรัสอุปมาให้ฟังว่า เหมือนหินใหญ่ที่จมน้ำไม่อาจลอยขึ้นตามคำอ้อนวอน คำสรรเสริญ และพิธีกรรมของมหาชน ในทางตรงกันข้าม คนที่ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ 10 ประการ ถึงมหาชนจะสวดอ้อนวอน สวดสรรเสริญ ทำพิธีกรรมขอให้ไปตกนรก ผู้นั้นก็ไม่ไปตกนรกแน่นอน เหมือนเนยใสที่ลอยน้ำย่อมไม่จมน้ำตามคำอ้อนวอน คำสรรเสริญและพิธีกรรมของมหาชน


Tstamp

[03:15] กุลสูตร ว่าด้วยเหตุที่ทำให้ตระกูลคับแค้น
[12:34] สังขธมสูตร ว่าด้วยคนเป่าสังข์
[31:56] เขตตูปมสูตร ว่าด้วยอุปมาว่าด้วยนา
[43:40] อสิพันธกปุตตสูตร ว่าด้วยผู้ใหญ่บ้านชื่ออสิพันธกบุต