คำพูดคนอื่นที่รับเอามากระทบจิต

  • คำพูดไม่ดีเหมือนฝีกลัดหนอง หนองที่ออกมาจากปาก เหม็นด้วย กระทบจิตผู้อื่นด้วย หากเราอยู่ใกล้คนประเภทนี้ เราก็จะโดนอยู่เรื่อย

คำด่า คำชม เป็นสุดโต่งทั้งสองข้าง

  • การกล่าวหา คือ การกล่าวถึง
  • คำด่า คำชม สำหรับผู้ฟังไม่ได้ต่างกันเพราะเป็นสุดโต่งทั้งสองข้าง คือ ทำให้เกิดความพอใจหรือไม่น่าพอใจ เกิดเป็นกิเลส คือ ความลุ่มหลงยินดีพอใจหรือเกิดความขัดเคืองไม่พอใจ ซึ่งผู้ฟังไม่ควรให้เกิดกิเลส สำหรับผู้พูดจะเกิดกรรม หากเป็นคำด่าก็เกิดกรรมชั่ว ถ้าเป็นคำชมก็เกิดกรรมดี ซึ่งผู้พูดควรจะพูดแต่สิ่งที่เป็นกรรมดี
  • แม้ว่าการกล่าวหานั้นจะเป็น 1. เรื่องจริง 2. เป็นประโยชน์ 3. เป็นคำกล่าวที่อ่อนหวาน 4. พูดด้วยจิตเมตตา 5.เหมาะสมกับเวลา แต่ผู้ฟังก็อาจจะเกิดความไม่พอใจได้ เพราะการตีความหรือมุมมองของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
  • หากผู้ฟังเกิดความโกรธจากสิ่งที่ได้รับฟัง ได้ชื่อว่ารับบาป, รับโทสะ, รับความโกรธตอบ, รับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ นั้นต่อมาทันที จิตใจที่ประกอบด้วยความโกรธจะมีความหยาบอยู่ในภายใน

พระพุทธเจ้าสอนว่า
“จิตต้องไม่แปรปรวน ต้องไม่กล่าววาจาอันเป็นบาป ต้องมีจิตเอ็นดูเกื้อกูลประกอบด้วยเมตตา ไม่มีโทสะในภายใน อันเป็นจิตใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ แผ่ไปถึงทุกคนโดยปรารภคนที่ด่าว่าเรา”

วิธีวางจิตต่อคำพูดคนอื่น มี 2 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 ทำจิตให้มีเมตตา ไม่ให้จิตติดลบไปในทางโกรธ

  • อุปมา 5 อย่าง
    (1) ทำจิตให้เหมือนแผ่นดิน = ไม่ว่าจะพยายามขุดแผ่นดินทั้งหมดให้เป็นทะเลสาบก็ไม่มีทางเป็นไปได้
    (2) ทำจิตให้เหมือนอากาศ = ไม่ว่าจะพยายามวาดรูปลงในอากาศอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้
    (3) ทำจิตให้เหมือนน้ำ = ไม่ว่าจะพยายามต้มน้ำในแม่น้ำให้เดือดอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้
    (4) ทำจิตให้เหมือนแผ่นหนังแมวป่าขนฟู = ซึ่งเกิดจากระบวนการทำที่ประณีต ไม่ว่าจะพยายามขึงแล้วตีให้มีเสียงดังกังวาลเหมือนกลองก็ไม่มีทางเป็นไปได้เพราะหนังมีความอ่อนนุ่มไปแล้ว
    (5) ทำจิตให้เหมือนโจรที่เลื่อยตนเองเหมือนต้นไม้ให้หมดไปด้วยเลื่อยที่มีด้ามจับสองข้าง = ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้
  • ให้พิจารณาว่าตัวเราประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ เช่นเดียวกันกับอุปมาข้างต้น คำชมคำด่าที่เกิดกับเราเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ แผ่นดิน ผืนน้ำ อากาศ กระบวนการเกิดของร่างกาย ต้นไม้ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมีเยอะกว่ามาก ดังนั้น เรื่องไม่จริง ไม่เป็นประโยชน์ คำหยาบคาย จิตที่มีโทสะ ไม่ถูกเวลา ย่อมไม่เป็นสาระแต่เป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อสนใจสิ่งหนึ่ง สิ่งอื่นที่ไม่สนใจจะอ่อนกำลังลง เรื่องเล็กก็จะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่
  • จิตใจที่กว้างขวาง ไม่เห็นแก่สั้นไม่เห็นแก่ยาว ให้ได้ไม่มีประมาณ คือ “พรหมวิหาร” (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ความโกรธก็จะระงับไปได้ และช่วยเพิ่มความอดทน ทำให้จิตไม่แปรปรวน

ขั้นตอนที่ 2 แผ่เมตตาไปยังผู้ที่กล่าวหา

  • ควรตั้งจิตต่อคำพูดผู้อื่น ด้วยจิตที่มีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา รักษาจิตอย่างนี้ให้ได้ตลอดทั้งวันและในเวลาต่อ ๆ ไป ก็จะทำให้เกิดชัยชนะในชีวิตของเราได้
  • ด้วยจิตที่เปรียบกับความรักที่แม่มีต่อลูกฉันใด ให้เรามีความรักความปรารถนาดีด้วยจิตที่กว้างขวางกับบุคคลนั้นฉันนั้น เอาบุคคลนั้นเป็นอารมณ์ แล้วแผ่ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย
  • อย่าไปกล่าวเรื่องที่จะต้องทุ่มเถียงกัน เพราะจะทำให้ต้องพูดมาก จิตฟุ้งซ่าน ไม่สำรวม จิตเหินห่างจากสมาธิ มารก็จะได้ช่องตรงนี้
  • เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร ต่อให้เขามองเราเป็นศัตรู ก็ให้เรามองเขาเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย มองด้วยสายตาแห่งคนที่รักใคร่
  • ในชีวิตประจำวัน ก่อนออกจากบ้านให้แผ่เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาด้วยจิตแบบนี้ ทุกทิศทุกทาง โดยไม่มีประมาณ จะเป็นทางออกที่ยั่งยืน เป็นทางสายกลาง ไม่สุดโต่งทั้งสองข้าง อยู่ในที่ใดกับใคร ที่แห่งนั้นก็จะมีความผาสุก ความผาสุกนี้จะเป็นที่พึ่งแก่เราได้ และจะทำให้เกิดปัญญา ไม่คิดเบียดเบียนใคร ได้ประโยชน์ทั้งตนเอง และผู้อื่น

Tstamp

[03:40] คำพูดคนอื่นกระทบจิต
[13:41] พุทธภาษิต เรื่อง “คติ 2 ประการของผู้เป็นมหาบุรุษ”
[16:40] คำด่าคำชม เป็นทางสุดโต่ง
[26:35] คำสอนของพระพุทธเจ้า
[30:15] วิธีวางจิตต่อคำพูดคนอื่น
[41:40] สร้างเมตตาด้วยอุปมา 5 อย่าง
[46:00] วิธีแผ่เมตตา