ทุกอย่างในโลกล้วนเป็น “อิทัปปัจจยตา คือ ความที่สิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย แล้วจึงเกิดสิ่งนี้สิ่งนี้ขึ้น ไม่ได้เป็นของตัวมันเอง”

พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอนิจจา เกิดขึ้นตลอดเวลา แม้แต่ลมหายใจเข้า-ออก ก็มีเหตุปัจจัยของเขา เกิดขึ้น ดับไป หรือตัวเราก็เป็นเพียงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ หรือธาตุรู้ ประกอบกันขึ้นเท่านั้น หรือแม้จิตเราก็เกิด-ดับตามผัสสะที่มากระทบโดยมีกายเป็นสื่อเท่านั้น

นี่คือความจริง เป็นสัจจะ

เราจะเห็นความจริงนี้ได้ด้วยสติ เมื่อมีสติ สมาธิก็เกิด มีสมาธิแล้วใคร่ครวญจึงเกิดปัญญาขึ้น สติ สมาธิ ปัญญา ก็คือ สติปัฏฐานสี่ ก็คือ อานาปานสติ

เมื่อมีปัญญาที่ “ต่อ” มาจากพระพุทธเจ้า ตามแนวที่พระพุทธเจ้าพิจารณาเอาไว้,

เราจะเห็นความจริงด้วยปัญญาว่า จิตของเราก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ควรที่จะไปยึดถือ

 “เมื่อปัญญาหรือวิชชาเกิด อวิชชาก็ดับ”


Timeline

[00:02] เข้าใจธรรมธาตุ เข้าใจอิทัปปัจจยตา วิปัสสนาผ่านอานาปานสติ
[14:53] ความเป็นตถตา อวิตถตา อนัญญถตา เพราะสิ่งนั้นล้วนเป็นอิทัปปัจจยตา
[26:59] ความจริงที่ถูกลืม เพราะเพลินไป มีตัณหา ถูกบังด้วยอวิชชา
[36:54] ความจริงที่แท้จริง อิทัปปัจจยตา
[41:17] เพราะเข้าใจสัจจะของสรรพสิ่ง จึงพบวิมุต ความจริงที่เหนือการปรุงแต่ง
[46:31] น้อมพิจารณาจิตว่าจิตนี้ไม่เที่ยง เป็นตามกฎอิทัปปัจจยตา ไม่ควรยึดถือ