สื่บเนื่องมาจากในตอนที่แล้ว หลังจากพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงปฐมเทศนาที่มีชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์แล้ว ทำให้พระโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นโสดาบันด้วยเห็นว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา.”
จากนั้นได้ทรงแสดง อนัตตลักขณสูตร ซึ่งกล่าวถึง ความเป็นอนัตตาในขันธ์ 5 มีใจความว่า
“สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดาพึงตามเห็นด้วยปัญญาอันชอบในสิ่งนั้นตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า ‘นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา’ ก็อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป เบื่อหน่ายแม้ในเวทนา เบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขาร และเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะความคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมเกิดญาณหยั่งรู้ว่า ‘หลุดพ้นแล้ว’ เธอย่อมรู้ชัดว่า ‘การเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่ออาการเป็นอย่างนี้ไม่ได้มีอีก” เหล่าปัญจวัคคีย์ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ในกาลต่อมา ได้ทรงแสดงธรรมเทศนาที่ชื่อว่า “อนุปุพพิกถา (ทาน ศีล เรื่องของสวรรค์ โทษของกาม และอานิสงส์ในการหลีกออกจากกาม) และอริยสัจ 4” โปรดแด่ ยสกุลบุตร บุตรเศรษฐีผู้เกิดความเบื่อหน่าย เดินออกจากเรือนพร่ำบ่นไปตลอดทางว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” จนเมื่อพระพุทธเจ้าทรงแผ่ญาณเพื่อตรวจดูเวไนยสัตว์ผู้ที่พอจะบรรลุได้ พบยสกุลบุตรที่กำลังเดินมาใกล้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสขึ้นว่า “ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เชิญมาที่นี่ เราจะแสดงธรรมแก่เธอ” ยสกุลบุตรได้ดวงตาเห็นธรรม ภายหลังบิดาได้เดินออกตามหาแล้วได้พบพระพุทธเจ้าและได้ฟังธรรม และเมื่อยสกุลบุตรได้ฟังธรรมเทศนาถึง 2 ครั้ง แล้วได้พิจารณาใคร่ครวญไปตามกระแสธรรมนั้น ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ด้วยการบวชของท่านเป็นเหตุให้เพื่อนของท่านอีก 54 คนได้เข้ามาบวช ซึ่งทั้งหมดล้วนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ในครั้งนั้นมีพระอรหันต์เกิดขึ้นแล้ว 61 รูปในโลก พระพุทธเจ้าจึงได้รับสั่งให้เหล่าภิกษุออกเดินทางเพื่อประกาศพระศาสนา โดยตรัสว่า “…พวกเธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มหาชน เพื่อความเอ็นดูแก่โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย อย่าไปทางเดียวกันถึงสองรูป พวกเธอจงแสดงธรรมให้งดงามในเบื้องต้น ให้งดงามในท่ามกลาง ให้งดงามในที่สุดลงรอบ จงประกาศพรหมจรรย์ให้เป็นไปพร้อมทั้งอรรถะพร้อมทั้งพยัญชนะให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง สัตว์ทั้งหลายที่เป็นพวกมีธุลีในดวงตาแต่น้อย ก็มีอยู่ สัตว์เหล่านั้นจะเสื่อมจากคุณที่จะได้รับถ้าไม่ได้ฟังธรรม สัตว์ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมีเป็นแน่ แม้เราเองก็จักไปสู่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม”
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึงตำบลอุรุเวลา ได้แสดงธรรมเทศนาแก่ ชฎิล 3 คนพี่น้อง คือ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ พร้อมทั้งบริวารที่ตำบลคยาสีสะ ด้วยชฎิลทั้งหมดนี้มีความคุ้นเคยกับไฟมาตลอด จึงยก อาทิตตปริยายสูตร ขึ้นแสดง โดยมีใจความว่า “สิ่งทั้งปวง เป็นของร้อน ในที่นี้หมายเอา อายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อายตนะภายนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ อายตนะภายนอกและอายตนะภายในอาศัยกันและกันแล้วจึงเกิดวิญญาณ (การรับรู้) ทาง ตาหู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อเกิดวิญญาณแล้ว อาศัยกันและกัน เกิดเป็นผัสสะ เมื่อเกิดผัสสะแล้วเกิดเวทนาตามมา เป็นสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง สิ่งต่าง ๆ นี้เป็นของร้อน
ร้อนเพราะไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด ความแก่ และความตาย ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น เมื่อเห็นโทษแห่งของร้อนทั้งปวงจึงเบื่อหน่ายกับการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นทั้งที่ยินดีพอใจและยินร้ายอันเป็นเหตุให้ร้อนใจอยู่เนืองนิตย์ จิตจึงปล่อยวาง เมื่อปล่อยวางก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่น.
ทั้งนี้ได้ยก อาทิตตปริยาย นัยยะที่ 2 และธรรมปริยาย ขึ้นมาอธิบายเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้มีความเข้าใจที่กว้างขวางลึกซึ่้งมากยิ่งขึ้นไป
“…ให้เรามีความระมัดระวังรักษา เหมือนอย่างพวกชฎิลที่บูชาไฟ จะต้องรักษาไฟเป็นอย่างดี…รักษาไม่ให้ไปมีราคะ โทสะ และโมหะเกิดขึ้น ซึ่งถ้ามีเกิดขึ้นแล้วจะทำให้เกิดลุ่มหลง มีความโกรธเกลียดไม่พอใจ เป็นต้น แต่ถ้าเมื่อเรารักษาให้มันดีแล้ว อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในช่องทางนั้นเป็นอันว่าได้รับการรักษา รักษาด้วยสติ รักษาด้วยการสำรวมอินทรีย์”
แนะนำรับฟังเพิ่มเติมได้ที่ Playlists: คลังพระสูตร Ep.54 , ตามใจท่าน Ep.42 , EP.21 , ใต้ร่มโพธิบท Ep.51